ผู้ติดตามแฟรนไชส์เร็ว...แรงทะลุนรก คงทราบกันดีว่าตัวละครหลักในหนังที่ชื่อ 'ไบรอัน โอ คอนเนอร์' เกษียณจากชีวิตเสี่ยงตายไปใช้ชีวิตสงบส...
ผู้ติดตามแฟรนไชส์เร็ว...แรงทะลุนรก คงทราบกันดีว่าตัวละครหลักในหนังที่ชื่อ 'ไบรอัน โอ คอนเนอร์' เกษียณจากชีวิตเสี่ยงตายไปใช้ชีวิตสงบสุขกับภรรยาและลูกๆ
เนื่องจาก 'พอล วอล์คเกอร์' นักแสดงเจ้าของบทไบรอัน เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ช่วงที่กำลังถ่ายทำภาพยนตร์ภาค 7 (Furious 7)
ไบรอัน โอ คอนเนอร์ คือชายรักครอบครัวที่ทั้งต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายและเป็นนักซิ่งข้างถนน
แต่ประวัติความเกี่ยวข้องของพอล วอล์คเกอร์กับแฟรนไชส์นี้นั้น ซับซ้อนยิ่งกว่าตัวตนของไบรอันในภาพยนตร์เสียอีก
เพราะพอลเคยเกือบจะออกจากแฟรนไชส์--และเกือบออกจากวงการฮอลลีวูด---อยู่หลายครั้ง ตลอดช่วงเวลา 12 ปีที่เขามีส่วนร่วมกับหนังชุด Fast
การผจญภัยในภาพยนตร์ตระกูล Fast ของพอลเริ่มต้นตอนค.ศ. 2000
หลังเขาเสร็จจากถ่ายหนังระทึกขวัญ (ที่คงแทบไม่มีใครรู้จัก) เรื่อง 'The Skulls' เพียงไม่นาน
ซึ่ง 'ร็อบ โคเฮน' ผู้กำกับที่ร่วมงานกับพอลใน The Skulls ตั้งใจว่าผลงานถัดไปจะทำร่วมกับ 'นีล มอริตซ์' ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ของสตูดิโอยูนิเวอร์แซล
โคเฮนกับมอริตซ์อยากได้ตัวพอล จึงสอบถามถึงสิ่งที่เค้าอยากทำ
พอลนำเสนอความใฝ่ฝันของตัวเอง--โครงการลูกผสมของ Days of Thunder (1990) กับ Donnie Brasco (1997)--อะไรบางอย่างที่อนุญาตให้เขา เป็นทั้งตำรวจสายลับกับนักขับรถแข่งได้พร้อมกัน
ผู้สร้างสองคนเลยเอาบทความบนนิตยสารไวบ์ (Vibe Magazine) อันเกี่ยวกับเหล่านักซิ่งนอกกฎหมายของลอสแองเจลิสมาให้พอลอ่าน
"พวกเขาว่านายจะได้เป็นตำรวจปลอมตัวไปซิ่งรถในโลกใต้ดิน" พอลรำลึกความหลัง
"ทำเอาผมอยากเซ็นสัญญาทันที ส่วนพวกเขาก็แทบคลั่ง แต่ว่าไปแล้วถ้าโอกาสแบบนั้นเวียนมาหาผมตอนอายุมากกว่านั้น คงมัวคิดมากเกินเหตุและอาจปฏิเสธงาน
อย่างไรก็ตามตอนพวกเขามาหา ผมอายุแค่ 24 ทั้งอ่อนวัย, โดนโน้มน้าวใจง่าย และอยากได้งาน
ผมเพิ่งมีลูกหลังจากแต่งงาน ยังปรารถนาความบันเทิง และต้องการเอาเรื่องลูกออกจากความคิดบ้าง
แบบว่าโอกาสออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หลังมีลูกแล้วมันค่อนข้างหายากน่ะ"
แต่พอลยอมรับว่าโคเฮน (ผู้กำกับภาคแรก/The Fast and the Furious) กับมอริตซ์ (ที่อำนวยการสร้างหนังภาค 1-8 ให้แฟรนไชส์) ตระหนักถึงความหวั่นใจของเขาที่จะตามมา หากต้องแบกหนังคนเดียว
ผู้สร้างทั้งสองจึงยืนยัน ว่าจะหานักแสดงร่วมที่เข้มแข็งพอจะแบ่งปันความกดดันไป
และสนับสนุนพอลได้มาให้
'วิน ดีเซล' ที่เวลานั้นรัศมีดาราเริ่มเปล่งประกายจากการเล่นหนังไซไฟเรื่อง 'Pitch Black' คือผู้ถูกเลือก ผู้สร้างทั้งสองมองว่าคู่นี้เหมาะแหง
และก็เป็นดังความคาดหมายของพวกเขา เพราะ The Fast and the Furious กวาดเงินทั่วโลกกว่า 200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจัดว่ามากโขสำหรับค่าเงินเมื่อปี 2001
พอลเล่าว่าสตูดิโอรีบแจ้นมาขอให้เค้าแสดงภาค 2
แล้วเขาก็พบผู้กำกับของภาคต่อ 'จอห์น ซิงเกิลตัน' กับ 'ไทรีส กิ๊บสัน' นักแสดงคนใหม่ที่จะประกบคู่ด้วย ณ โรงแรมของเมืองลอสแองเจลิส
พอลประทับใจในตัวซิงเกิลตันกับกิ๊บสัน และชอบไอเดียที่จะย้ายไปถ่ายทำกันแถวเมืองไมอามี่
(มีปัญหาในการทำข้อตกลงของวิน ดีเซล เขาเลยไม่กลับมาร่วมงานใน 2 Fast 2 Furious)
ภาคสาม (The Fast and the Furious: Tokyo Drift) ประสบปัญหาแตกแยกทางความคิดภายในสตูดิโอ
พอลอ้างว่าเขากับดีเซลได้ถ่ายทำฉากรับเชิญ (cameo) ในหนัง แต่มันกลับโดนตัดลบไปแบบไม่เหลือร่องรอย
ต่อมาเมื่อสตูดิโอเรียกตัวเขากลับสู่แฟรนไชส์ทำภาค 4 พอลก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่
"ผมเคยนึกว่ามันเชยแล้ว" พอลกล่าว "พวกเขามาคุยเกี่ยวกับบทของผมในภาค 4 สิ่งที่ผมตอบคือ 'ล้อเล่นใช่เปล่า ?'
จริงอยู่ ภาคแรกมันเคยเป็นความบันเทิงและความโดนใจของคนวัยหนุ่มสาว แต่ความนิยมของผู้ชมเปลี่ยนแปลงทุกวัน
มันผ่านไปแล้วตั้ง 9 ปี ยังมีใครอยากดูอยู่อีกเรอะ"
มอริตซ์โน้มน้าวพอลไม่ได้ แต่คนที่ชักนำเขากลับเข้าแฟรนไชส์สำเร็จคือวิน ดีเซล
ด้วยการยืนยันกับสหายว่านี่คือภาคต่อของแท้เรื่องแรก พวกเขาจะเคาะสนิมให้แฟรนไชส์และพามันออกวิ่งต่อจริงๆ เสียที
พอลเคยมีอนาคตอันสดใสรออยู่, ตอนนั้นมีโดว์/ลูกสาวเขาเพิ่งย้ายจากฮาวาย (ซึ่งเธอเคยใช้ชีวิตร่วมกับมารดา) ไปแคลิฟอร์เนียเพื่ออยู่ร่วมกับบิดา
พอลตั้งใจว่าจะมุ่งเป้าสู่การเป็นพ่อที่ดีมากขึ้น
เล็งว่าจะทำงานเกี่ยวกับมูลนิธิและสัตว์ป่า ในลักษณะที่มากกว่าแค่สนับสนุนด้านการเงินเฉยๆ
อันที่จริง พอลว่าโอกาสอันรอคอยเขาอยู่เหล่านั้น คือแรงผลักดันให้เขาขับเคลื่อนร่างกายของตนไปข้างหน้า
พอลเล่าว่าครั้งหนึ่งมีแฟนคลับเดินมาบอก "เพราะคุณผมถึงเสียเงินซื้อรถซีวิก (Civic) เมื่อปี 2001" เขาคงไม่รู้ว่าพอลเองก็เสียเงินซื้อซีวิกด้วยเหมือนกัน
"แฟรนไชส์นี้ทำให้คนสงสัยว่ารถในเรื่องเป็นรุ่นไหนบ้าง ว่าไปแล้วรถเหมือนม้าของยุคปัจจุบัน
ยุคเก่าม้าสีขาวเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกอะไรหลายอย่างในฐานะลูกผู้ชาย เป็นสิ่งที่ขี่กันในช่วงเวลาสำคัญ
ผมคือชายที่จะใช้กำลังทรัพย์ตัวเอง จ่ายเงินซื้อมันมาเพื่อขับขี่และคอยเติมน้ำมัน"
ช่างน่าเศร้าเพราะสาเหตุการเสียชีวิตของเขาคืออาชาชั้นเลิศอย่าง ปอร์เช่ คาร์เรรา จีทีไฟว์ (Porsche Carrera GT 5) รถที่มีชื่อเสียงด้านความเร็วแรงแบบไม่ธรรมดา
เนื่องจาก 'พอล วอล์คเกอร์' นักแสดงเจ้าของบทไบรอัน เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ช่วงที่กำลังถ่ายทำภาพยนตร์ภาค 7 (Furious 7)
ไบรอัน โอ คอนเนอร์ คือชายรักครอบครัวที่ทั้งต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายและเป็นนักซิ่งข้างถนน
แต่ประวัติความเกี่ยวข้องของพอล วอล์คเกอร์กับแฟรนไชส์นี้นั้น ซับซ้อนยิ่งกว่าตัวตนของไบรอันในภาพยนตร์เสียอีก
เพราะพอลเคยเกือบจะออกจากแฟรนไชส์--และเกือบออกจากวงการฮอลลีวูด---อยู่หลายครั้ง ตลอดช่วงเวลา 12 ปีที่เขามีส่วนร่วมกับหนังชุด Fast
การผจญภัยในภาพยนตร์ตระกูล Fast ของพอลเริ่มต้นตอนค.ศ. 2000
หลังเขาเสร็จจากถ่ายหนังระทึกขวัญ (ที่คงแทบไม่มีใครรู้จัก) เรื่อง 'The Skulls' เพียงไม่นาน
ซึ่ง 'ร็อบ โคเฮน' ผู้กำกับที่ร่วมงานกับพอลใน The Skulls ตั้งใจว่าผลงานถัดไปจะทำร่วมกับ 'นีล มอริตซ์' ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ของสตูดิโอยูนิเวอร์แซล
โคเฮนกับมอริตซ์อยากได้ตัวพอล จึงสอบถามถึงสิ่งที่เค้าอยากทำ
พอลนำเสนอความใฝ่ฝันของตัวเอง--โครงการลูกผสมของ Days of Thunder (1990) กับ Donnie Brasco (1997)--อะไรบางอย่างที่อนุญาตให้เขา เป็นทั้งตำรวจสายลับกับนักขับรถแข่งได้พร้อมกัน
ผู้สร้างสองคนเลยเอาบทความบนนิตยสารไวบ์ (Vibe Magazine) อันเกี่ยวกับเหล่านักซิ่งนอกกฎหมายของลอสแองเจลิสมาให้พอลอ่าน
"พวกเขาว่านายจะได้เป็นตำรวจปลอมตัวไปซิ่งรถในโลกใต้ดิน" พอลรำลึกความหลัง
"ทำเอาผมอยากเซ็นสัญญาทันที ส่วนพวกเขาก็แทบคลั่ง แต่ว่าไปแล้วถ้าโอกาสแบบนั้นเวียนมาหาผมตอนอายุมากกว่านั้น คงมัวคิดมากเกินเหตุและอาจปฏิเสธงาน
อย่างไรก็ตามตอนพวกเขามาหา ผมอายุแค่ 24 ทั้งอ่อนวัย, โดนโน้มน้าวใจง่าย และอยากได้งาน
ผมเพิ่งมีลูกหลังจากแต่งงาน ยังปรารถนาความบันเทิง และต้องการเอาเรื่องลูกออกจากความคิดบ้าง
แบบว่าโอกาสออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หลังมีลูกแล้วมันค่อนข้างหายากน่ะ"
แต่พอลยอมรับว่าโคเฮน (ผู้กำกับภาคแรก/The Fast and the Furious) กับมอริตซ์ (ที่อำนวยการสร้างหนังภาค 1-8 ให้แฟรนไชส์) ตระหนักถึงความหวั่นใจของเขาที่จะตามมา หากต้องแบกหนังคนเดียว
ผู้สร้างทั้งสองจึงยืนยัน ว่าจะหานักแสดงร่วมที่เข้มแข็งพอจะแบ่งปันความกดดันไป
และสนับสนุนพอลได้มาให้
'วิน ดีเซล' ที่เวลานั้นรัศมีดาราเริ่มเปล่งประกายจากการเล่นหนังไซไฟเรื่อง 'Pitch Black' คือผู้ถูกเลือก ผู้สร้างทั้งสองมองว่าคู่นี้เหมาะแหง
และก็เป็นดังความคาดหมายของพวกเขา เพราะ The Fast and the Furious กวาดเงินทั่วโลกกว่า 200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจัดว่ามากโขสำหรับค่าเงินเมื่อปี 2001
พอลเล่าว่าสตูดิโอรีบแจ้นมาขอให้เค้าแสดงภาค 2
แล้วเขาก็พบผู้กำกับของภาคต่อ 'จอห์น ซิงเกิลตัน' กับ 'ไทรีส กิ๊บสัน' นักแสดงคนใหม่ที่จะประกบคู่ด้วย ณ โรงแรมของเมืองลอสแองเจลิส
พอลประทับใจในตัวซิงเกิลตันกับกิ๊บสัน และชอบไอเดียที่จะย้ายไปถ่ายทำกันแถวเมืองไมอามี่
(มีปัญหาในการทำข้อตกลงของวิน ดีเซล เขาเลยไม่กลับมาร่วมงานใน 2 Fast 2 Furious)
ภาคสาม (The Fast and the Furious: Tokyo Drift) ประสบปัญหาแตกแยกทางความคิดภายในสตูดิโอ
พอลอ้างว่าเขากับดีเซลได้ถ่ายทำฉากรับเชิญ (cameo) ในหนัง แต่มันกลับโดนตัดลบไปแบบไม่เหลือร่องรอย
ต่อมาเมื่อสตูดิโอเรียกตัวเขากลับสู่แฟรนไชส์ทำภาค 4 พอลก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่
"ผมเคยนึกว่ามันเชยแล้ว" พอลกล่าว "พวกเขามาคุยเกี่ยวกับบทของผมในภาค 4 สิ่งที่ผมตอบคือ 'ล้อเล่นใช่เปล่า ?'
จริงอยู่ ภาคแรกมันเคยเป็นความบันเทิงและความโดนใจของคนวัยหนุ่มสาว แต่ความนิยมของผู้ชมเปลี่ยนแปลงทุกวัน
มันผ่านไปแล้วตั้ง 9 ปี ยังมีใครอยากดูอยู่อีกเรอะ"
มอริตซ์โน้มน้าวพอลไม่ได้ แต่คนที่ชักนำเขากลับเข้าแฟรนไชส์สำเร็จคือวิน ดีเซล
ด้วยการยืนยันกับสหายว่านี่คือภาคต่อของแท้เรื่องแรก พวกเขาจะเคาะสนิมให้แฟรนไชส์และพามันออกวิ่งต่อจริงๆ เสียที
พอลเคยมีอนาคตอันสดใสรออยู่, ตอนนั้นมีโดว์/ลูกสาวเขาเพิ่งย้ายจากฮาวาย (ซึ่งเธอเคยใช้ชีวิตร่วมกับมารดา) ไปแคลิฟอร์เนียเพื่ออยู่ร่วมกับบิดา
พอลตั้งใจว่าจะมุ่งเป้าสู่การเป็นพ่อที่ดีมากขึ้น
เล็งว่าจะทำงานเกี่ยวกับมูลนิธิและสัตว์ป่า ในลักษณะที่มากกว่าแค่สนับสนุนด้านการเงินเฉยๆ
อันที่จริง พอลว่าโอกาสอันรอคอยเขาอยู่เหล่านั้น คือแรงผลักดันให้เขาขับเคลื่อนร่างกายของตนไปข้างหน้า
พอลเล่าว่าครั้งหนึ่งมีแฟนคลับเดินมาบอก "เพราะคุณผมถึงเสียเงินซื้อรถซีวิก (Civic) เมื่อปี 2001" เขาคงไม่รู้ว่าพอลเองก็เสียเงินซื้อซีวิกด้วยเหมือนกัน
"แฟรนไชส์นี้ทำให้คนสงสัยว่ารถในเรื่องเป็นรุ่นไหนบ้าง ว่าไปแล้วรถเหมือนม้าของยุคปัจจุบัน
ยุคเก่าม้าสีขาวเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกอะไรหลายอย่างในฐานะลูกผู้ชาย เป็นสิ่งที่ขี่กันในช่วงเวลาสำคัญ
ผมคือชายที่จะใช้กำลังทรัพย์ตัวเอง จ่ายเงินซื้อมันมาเพื่อขับขี่และคอยเติมน้ำมัน"
ช่างน่าเศร้าเพราะสาเหตุการเสียชีวิตของเขาคืออาชาชั้นเลิศอย่าง ปอร์เช่ คาร์เรรา จีทีไฟว์ (Porsche Carrera GT 5) รถที่มีชื่อเสียงด้านความเร็วแรงแบบไม่ธรรมดา
ที่มา : latimes
COMMENTS