คำอธิบายความรู้สึกแบบรวบรัดคือ "เปิดตัวดี, มีความง่วงช่วงกลาง (เยอะหน่อย), ตาสว่างช่วงท้าย" ตอนเริ่มเรื่องที่พวกเอ็กซ์เมนทำภารก...
คำอธิบายความรู้สึกแบบรวบรัดคือ "เปิดตัวดี, มีความง่วงช่วงกลาง (เยอะหน่อย), ตาสว่างช่วงท้าย"
ตอนเริ่มเรื่องที่พวกเอ็กซ์เมนทำภารกิจกู้ชีพนักบินอวกาศ ซึ่งประสบเหตุร้ายเพราะเจอพลังงานลึกลับเหนือชั้นบรรยากาศโลก ค่อนข้างสนุกทีเดียว
แต่พอเหตุการณ์คลี่คลาย, ทีมเอ็กซ์เมนกลับบ้านกัน
กราฟความสนุกของหนังก็พลันดิ่งลงเรื่อยๆ
สาเหตุหลักๆ เลย เป็นเพราะเวลาไม่มีฉากบู๊หรือโชว์การใช้พลังพิเศษของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์
หนังจะเล่าเรื่องโดยเน้นบทสนทนา กับฉากรำลึกเหตุการณ์ในความคิดตัวละคร (flashback)
และเข้าใจได้อยู่ว่าทำไม เพราะสถานการณ์ตามท้องเรื่องของ Dark Phoenix ค่อนข้างดราม่าและตึงเครียด แถมตัวละครที่เคยอยู่ฝั่งเดียวกันหันมาห้ำหั่นกันเอง
ถ้ามอบเหตุผลรองรับน้อยไปคนดูจะไม่เชื่อถือ, มองว่าผู้สร้างแค่อยากหาเรื่องให้ครอบครัวเอ็กซ์เมนประสบความแตกแยกเฉยๆ
แต่ไซมอน คินเบิร์ก ผู้เขียนบทให้หนังชุดนี้มาหลายภาค (และลงมากำกับด้วยในภาคนี้) ขาดลีลาการเล่าเรื่องที่เร้าอารมณ์ผู้ชม
จนหนังดูราบเรียบ เปรียบได้กับน้ำในบึงซึ่งผิวน้ำนิ่งไม่ไหวติง ที่หากกระแสน้ำไม่เคลื่อนไหวนานๆ มันจะเริ่มเน่าเสียและส่งกลิ่นเหม็น...
จากประสบการณ์ดูหนังส่วนตัว เคยรู้สึกคล้ายกันตอนดูหนังเจสัน บอร์น ภาค 4 (The Bourne Legacy) ที่โทนี่ กิลรอย/คนเขียนบทเจ้าประจำ รับงานกำกับหนังสายลับบู๊ระห่ำด้วยตนเอง
สังเกตเห็นว่าทั้งสองเรื่องจะมัวเล่าอะไรต่างๆ ผ่านบทสนทนา, ไม่กล้าตัดบทที่ขาดความจำเป็นทิ้ง และเล็งไม่ถูกว่าควรเสริมสิ่งใด
Dark Phoenix ล้มเหลวด้านการเล่าเรื่องให้เร้าอารมณ์ จนความน่าเชื่อถือในพฤติกรรมของตัวละครลดลงฮวบฮาบ (แม้บทอธิบายดีแล้ว ขอแค่ตั้งใจฟังทุกอย่างจะเข้าใจ)
ซึ่งขอบอกว่าผมไม่มีอคติเรื่องตัวละครไหนในการ์ตูนเป็นอย่างไร ? กับความแคลงใจเรื่องพวกเขาทำตัวผิดจากที่เคยเห็นเคยเป็นในหนังเรื่องอื่นหรือไม่ ?
เนื่องจากไม่ได้ติดตามการ์ตูนต้นฉบับ และเชื่อใจคินเบิร์ก ว่าคือผู้รู้จักตัวละครที่เขาปั้นขึ้นมาดีกว่าใครชัวร์ (ก็เขาเขียนบทมาหลายภาคนี่)
แต่การกำกับของคินเบิร์กขาดศาสตร์และศิลป์ในการถ่ายทอดอย่างเหมาะสมสำหรับหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องนี้
ผมไม่มีความรู้ตรงนี้ เลยบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าผิดพลาดอะไรยังไง
เป็นที่มัวแช่กล้องจ่อมหน้าตัวละครตัดสลับไปมา,
ขาดการเล่นมุมกล้องสูงบ้างกว้างบ้าง,
ไม่ยอมหมุนกล้องตามการเคลื่อนไหวตัวละครตอนฉากบู๊เล่นท่ายาก,
หรือลืมเปิดแสงแฟลร์จ้าๆ ชวนแสบตาเล่นแบบเจ.เจ.อับรามส์/ผู้กำกับ The Force Awakens เพื่อสร้างความโดดเด่น
ก็มิอาจฟันธงให้ชัดเจนลงไปได้...
ทว่าความสนุกยามรับชมเป็นสิ่งที่มั่นใจ
ว่าสัมผัสมันได้น้อยลงในหนังเมื่อเทียบกับภาพยนตร์แฟรนไชส์ X-Men ภาคอื่นๆ
(X-Men Origins: Wolverine ที่คำวิจารณ์แย่สุดในแฟรนไชส์มานมนานก่อน Dark Phoenix ฉาย ยังรู้สึกถึงความบันเทิงยามรับชมมากกว่า)
อย่างไรก็ตาม หากคุณคือผู้ติดตามดูหนัง X-Men เป็นประจำ
Dark Phoenix ไม่ได้แย่ขนาดต้องด่าทอผู้กำกับอะไร
มันแค่ขาดแรงดึงดูดให้สมาธิคนดูจดจ่ออยู่กับเนื้อเรื่องยามไม่มีฉากบู๊
ฉะนั้นถ้ารู้จักตัวละครดี, รู้สถานการณ์ตามท้องเรื่องอยู่แล้ว และแค่อยากสัมผัสเรื่องราวของพวกเค้าต่อ ก็คงไม่มีปัญหาเท่าผู้ชมที่ไม่ค่อยได้ตามเรื่องราวเท่าไหร่
เพราะฉากโชว์พลังพิเศษภาคนี้ถือว่ามีทีเด็ดให้เห็นหลายอย่าง (เป็นส่วนดีงามสุดของหนังละมั้ง)
โดยเฉพาะฉากบู๊ใหญ่ช่วงท้ายเรื่อง ซึ่งตัวละครปล่อยของกันเต็มกำลัง
ทำเอาตาสว่างและลดทอนความรู้สึกแย่ๆ หลังเจอช่วงน่าเบื่อกลางเรื่องไปได้โข
--สรุป-- Dark Phoenix เป็นหนังบทไม่แย่ และมีดีตรงฉากบู๊โชว์พลังอยู่
ทว่าการกำกับเล่าเรื่องขาดความดึงดูดใจให้คนดูจดจ่อกับเนื้อเรื่องได้ตลอด
จึงไม่ถึงขั้นเป็นหนังยอดแย่อะไร แต่คงเหมาะสำหรับผู้ต้องการติดตามเรื่องราวแห่งจักรวาลหนัง X-Men ค่ายฟ็อกซ์จนสุดทางเท่านั้น
สำหรับผู้สนใจ แต่ไม่ได้ตามอะไรจริงจัง ไปดูภาคอื่นๆ ก่อนค่อยว่ากันจะดีกว่า
ตอนเริ่มเรื่องที่พวกเอ็กซ์เมนทำภารกิจกู้ชีพนักบินอวกาศ ซึ่งประสบเหตุร้ายเพราะเจอพลังงานลึกลับเหนือชั้นบรรยากาศโลก ค่อนข้างสนุกทีเดียว
แต่พอเหตุการณ์คลี่คลาย, ทีมเอ็กซ์เมนกลับบ้านกัน
กราฟความสนุกของหนังก็พลันดิ่งลงเรื่อยๆ
สาเหตุหลักๆ เลย เป็นเพราะเวลาไม่มีฉากบู๊หรือโชว์การใช้พลังพิเศษของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์
หนังจะเล่าเรื่องโดยเน้นบทสนทนา กับฉากรำลึกเหตุการณ์ในความคิดตัวละคร (flashback)
และเข้าใจได้อยู่ว่าทำไม เพราะสถานการณ์ตามท้องเรื่องของ Dark Phoenix ค่อนข้างดราม่าและตึงเครียด แถมตัวละครที่เคยอยู่ฝั่งเดียวกันหันมาห้ำหั่นกันเอง
ถ้ามอบเหตุผลรองรับน้อยไปคนดูจะไม่เชื่อถือ, มองว่าผู้สร้างแค่อยากหาเรื่องให้ครอบครัวเอ็กซ์เมนประสบความแตกแยกเฉยๆ
แต่ไซมอน คินเบิร์ก ผู้เขียนบทให้หนังชุดนี้มาหลายภาค (และลงมากำกับด้วยในภาคนี้) ขาดลีลาการเล่าเรื่องที่เร้าอารมณ์ผู้ชม
จนหนังดูราบเรียบ เปรียบได้กับน้ำในบึงซึ่งผิวน้ำนิ่งไม่ไหวติง ที่หากกระแสน้ำไม่เคลื่อนไหวนานๆ มันจะเริ่มเน่าเสียและส่งกลิ่นเหม็น...
จากประสบการณ์ดูหนังส่วนตัว เคยรู้สึกคล้ายกันตอนดูหนังเจสัน บอร์น ภาค 4 (The Bourne Legacy) ที่โทนี่ กิลรอย/คนเขียนบทเจ้าประจำ รับงานกำกับหนังสายลับบู๊ระห่ำด้วยตนเอง
สังเกตเห็นว่าทั้งสองเรื่องจะมัวเล่าอะไรต่างๆ ผ่านบทสนทนา, ไม่กล้าตัดบทที่ขาดความจำเป็นทิ้ง และเล็งไม่ถูกว่าควรเสริมสิ่งใด
Dark Phoenix ล้มเหลวด้านการเล่าเรื่องให้เร้าอารมณ์ จนความน่าเชื่อถือในพฤติกรรมของตัวละครลดลงฮวบฮาบ (แม้บทอธิบายดีแล้ว ขอแค่ตั้งใจฟังทุกอย่างจะเข้าใจ)
ซึ่งขอบอกว่าผมไม่มีอคติเรื่องตัวละครไหนในการ์ตูนเป็นอย่างไร ? กับความแคลงใจเรื่องพวกเขาทำตัวผิดจากที่เคยเห็นเคยเป็นในหนังเรื่องอื่นหรือไม่ ?
เนื่องจากไม่ได้ติดตามการ์ตูนต้นฉบับ และเชื่อใจคินเบิร์ก ว่าคือผู้รู้จักตัวละครที่เขาปั้นขึ้นมาดีกว่าใครชัวร์ (ก็เขาเขียนบทมาหลายภาคนี่)
แต่การกำกับของคินเบิร์กขาดศาสตร์และศิลป์ในการถ่ายทอดอย่างเหมาะสมสำหรับหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องนี้
ผมไม่มีความรู้ตรงนี้ เลยบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าผิดพลาดอะไรยังไง
เป็นที่มัวแช่กล้องจ่อมหน้าตัวละครตัดสลับไปมา,
ขาดการเล่นมุมกล้องสูงบ้างกว้างบ้าง,
ไม่ยอมหมุนกล้องตามการเคลื่อนไหวตัวละครตอนฉากบู๊เล่นท่ายาก,
หรือลืมเปิดแสงแฟลร์จ้าๆ ชวนแสบตาเล่นแบบเจ.เจ.อับรามส์/ผู้กำกับ The Force Awakens เพื่อสร้างความโดดเด่น
ก็มิอาจฟันธงให้ชัดเจนลงไปได้...
ทว่าความสนุกยามรับชมเป็นสิ่งที่มั่นใจ
ว่าสัมผัสมันได้น้อยลงในหนังเมื่อเทียบกับภาพยนตร์แฟรนไชส์ X-Men ภาคอื่นๆ
(X-Men Origins: Wolverine ที่คำวิจารณ์แย่สุดในแฟรนไชส์มานมนานก่อน Dark Phoenix ฉาย ยังรู้สึกถึงความบันเทิงยามรับชมมากกว่า)
อย่างไรก็ตาม หากคุณคือผู้ติดตามดูหนัง X-Men เป็นประจำ
Dark Phoenix ไม่ได้แย่ขนาดต้องด่าทอผู้กำกับอะไร
มันแค่ขาดแรงดึงดูดให้สมาธิคนดูจดจ่ออยู่กับเนื้อเรื่องยามไม่มีฉากบู๊
ฉะนั้นถ้ารู้จักตัวละครดี, รู้สถานการณ์ตามท้องเรื่องอยู่แล้ว และแค่อยากสัมผัสเรื่องราวของพวกเค้าต่อ ก็คงไม่มีปัญหาเท่าผู้ชมที่ไม่ค่อยได้ตามเรื่องราวเท่าไหร่
เพราะฉากโชว์พลังพิเศษภาคนี้ถือว่ามีทีเด็ดให้เห็นหลายอย่าง (เป็นส่วนดีงามสุดของหนังละมั้ง)
โดยเฉพาะฉากบู๊ใหญ่ช่วงท้ายเรื่อง ซึ่งตัวละครปล่อยของกันเต็มกำลัง
ทำเอาตาสว่างและลดทอนความรู้สึกแย่ๆ หลังเจอช่วงน่าเบื่อกลางเรื่องไปได้โข
--สรุป-- Dark Phoenix เป็นหนังบทไม่แย่ และมีดีตรงฉากบู๊โชว์พลังอยู่
ทว่าการกำกับเล่าเรื่องขาดความดึงดูดใจให้คนดูจดจ่อกับเนื้อเรื่องได้ตลอด
จึงไม่ถึงขั้นเป็นหนังยอดแย่อะไร แต่คงเหมาะสำหรับผู้ต้องการติดตามเรื่องราวแห่งจักรวาลหนัง X-Men ค่ายฟ็อกซ์จนสุดทางเท่านั้น
สำหรับผู้สนใจ แต่ไม่ได้ตามอะไรจริงจัง ไปดูภาคอื่นๆ ก่อนค่อยว่ากันจะดีกว่า
COMMENTS