ค.ศ. 2013 ภาพยนตร์หุ่นเหล็กยักษ์ปะทะสัตว์ประหลาด "Pacific Rim-แปซิฟิค ริม" ออกฉาย ซึ่งผู้กำกับและอำนวยการสร้าง 'กิลเลอโม เดล ...
ค.ศ. 2013 ภาพยนตร์หุ่นเหล็กยักษ์ปะทะสัตว์ประหลาด "Pacific Rim-แปซิฟิค ริม" ออกฉาย ซึ่งผู้กำกับและอำนวยการสร้าง 'กิลเลอโม เดล โทโร' ได้แรงบันดาลใจจากบรรดาหนังสัตว์ประหลาด+อนิเมชั่นหุ่นเหล็กยักษ์ของทางประเทศญี่ปุ่น ทำให้ตัวหนังโดดเด่นและสดใหม่ แตกต่างกับภาพยนตร์ฮอลลีวูดทั่วไปมากพอดู
รายได้จากการฉายแปซิฟิค ริมตลาดอเมริกาไม่มากมาย แต่รายได้ต่างประเทศทั่วโลกออกมาดี (โดยเฉพาะจีน) ทำให้ทางผู้สร้างลังเล โครงการหนังภาคต่อต้องล่าช้าพักหนึ่ง
ถึงกระนั้นก็ยังมีความพยายามผลักดันแปซิฟิค ริมภาคต่อ หลังผ่านมา 5 ปี ภาคต่อนาม "Pacific Rim: Uprising-แปซิฟิค ริม: ปฏิวัติพลิกโลก" จึงมาถึง
และปัจจุบันทางผู้สร้างก็ขยับขยายเรื่องราวในโลกแปซิฟิค ริมให้กว้างขวาง บอกเล่าเรื่องราวผ่านคอมิค+นิยายเพิ่มเติมด้วย
บทความนี้จะแจกแจงองค์ประกอบเฉพาะตัวของ 'จักรวาลแปซิฟิค ริม' เช่น ที่มาของชื่อเรื่อง, ที่มาสัตว์ประหลาด, การประสานจิตเพื่อบังคับหุ่น เป็นต้น
ค.ศ. 2013 ปีเดียวกับหนังภาคแรกฉาย โลกแปซิฟิค ริมจู่ๆ เกิดประตูมิติเปิดใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรแปซิฟิค เปิดทางผ่านเข้า-ออก อุโมงค์เชื่อมระหว่างมิติดาวโลกที่มนุษย์อาศัยอยู่กับมิติคู่ขนาน
สัตว์ประหลาดยักษ์ซึ่งภายหลังเรียกขานว่า "ไคจู" ตัวแรกข้ามมิติคู่ขนาน ผ่านประตูมิติออกมาและขึ้นฝั่งเมืองซานฟรานซิสโก, ประเทศอเมริกา กวาดล้างบ้านเมือง ทำลายล้างชีวิตผู้คนหลายวัน กว่ากองกำลังทหารมนุษย์ที่กระหน่ำยิงอาวุธทุกอย่างเข้าใส่จะสังหารมันลงสำเร็จ
รายได้จากการฉายแปซิฟิค ริมตลาดอเมริกาไม่มากมาย แต่รายได้ต่างประเทศทั่วโลกออกมาดี (โดยเฉพาะจีน) ทำให้ทางผู้สร้างลังเล โครงการหนังภาคต่อต้องล่าช้าพักหนึ่ง
ถึงกระนั้นก็ยังมีความพยายามผลักดันแปซิฟิค ริมภาคต่อ หลังผ่านมา 5 ปี ภาคต่อนาม "Pacific Rim: Uprising-แปซิฟิค ริม: ปฏิวัติพลิกโลก" จึงมาถึง
และปัจจุบันทางผู้สร้างก็ขยับขยายเรื่องราวในโลกแปซิฟิค ริมให้กว้างขวาง บอกเล่าเรื่องราวผ่านคอมิค+นิยายเพิ่มเติมด้วย
บทความนี้จะแจกแจงองค์ประกอบเฉพาะตัวของ 'จักรวาลแปซิฟิค ริม' เช่น ที่มาของชื่อเรื่อง, ที่มาสัตว์ประหลาด, การประสานจิตเพื่อบังคับหุ่น เป็นต้น
ความหมายของแปซิฟิค ริม(Pacific Rim)
แปซิฟิค ริมหมายถึง ขอบเขตผืนแผ่นดินรอบมหาสมุทรแปซิฟิค(มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่สุดของโลก) นานาประเทศน้อยใหญ่มากมายอาณาเขตติดมหาสมุทรนี้
สีน้ำเงินคือประเทศซึ่งอาณาเขตติดแปซิฟิค
สาเหตุที่ภาพยนตร์ใช้ชื่อดังกล่าว คงเพราะสัตว์ประหลาดในเรื่องโผล่ออกมาจากก้นบึ้งมหาสมุทร ขึ้นฝั่งรุกรานประเทศต่างๆ รอบอาณาเขตแปซิฟิค บดขยี้มนุษย์โลกตาดำๆ ดั่งมดปลวก
* ประเทศไทยเข้าข่ายโดนบุก แต่เท่าที่เช็คดูไม่มีประวัติว่าเคยโดน โชคดีจัง :D (การบุกใกล้สุดอยู่แถวมาเลเซีย)
ประตูมิติ
สัตว์ประหลาดยักษ์ซึ่งภายหลังเรียกขานว่า "ไคจู" ตัวแรกข้ามมิติคู่ขนาน ผ่านประตูมิติออกมาและขึ้นฝั่งเมืองซานฟรานซิสโก, ประเทศอเมริกา กวาดล้างบ้านเมือง ทำลายล้างชีวิตผู้คนหลายวัน กว่ากองกำลังทหารมนุษย์ที่กระหน่ำยิงอาวุธทุกอย่างเข้าใส่จะสังหารมันลงสำเร็จ
ไคจู(Kaiju)
ไคจู = สัตว์ประหลาดในภาษาญี่ปุ่น ไคจูถูกสร้างโดยสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาจากมิติคู่ขนาน พวกนี้ทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยึดครองดาวต่างๆ , ผลาญทรัพยากรจนหมด, ย้ายไปสูบชีวิตดาวอื่นต่อเรื่อยๆ
พวกมันเคยมาโลกสมัยยุคไดโนเสาร์เพื่อทดสอบแล้ว แต่สภาพแวดล้อมไม่เป็นใจ จึงเฝ้ารอยาวนานหลายล้านปี
ครั้นมนุษย์ทำลายสิ่งแวดล้อม โอโซนบนชั้นบรรยากาศน้อยลง โลกเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนมอนน็อกไซด์ มลพิษปนเปื้อนน้ำ สภาพโลกเลยเหมาะสมสำหรับพวกนักล่าอาณานิคม ถึงได้ฤกษ์เปิดประตูมิติ ส่งไคจูมากวาดล้างมนุษย์ให้สิ้นซาก
ไคจูแต่ละตัวรูปร่าง ความสามารถแตกต่างกัน นักล่าอาณานิคมเริ่มลองเชิง ค่อยๆ ส่งไคจูมานานๆ ครั้ง ทีละตัวสองตัว พอไคจูถูกกำจัดก็ปรับปรุง-เปลี่ยนแปลงเพิ่มความร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งก่อนสงครามไคจูสิ้นสุด มนุษย์แบ่งระดับความร้ายกาจไคจูได้ถึง 5 ระดับ
- ไคจูใช้ 2 สมองเพื่อช่วยเคลื่อนไหวร่างกายอันใหญ่โตเหมือนไดโนเสาร์
- มีระบบความคิดเชื่อมต่อระหว่างแต่ละตัวแบบเครือข่าย(สมองไคจูเชื่อมโยงกันหมด รับรู้ความคิด, ความทรงจำไคจูตัวอื่นทุกอย่าง)
- มีปรสิตเกาะอยู่เหมือนสัตว์ทั่วไป
- สามารถตั้งครรภ์ได้
- เลือดไคจูเป็นพิษ
- ไคจูกินมนุษย์ และมีการขับถ่ายเป็นของเสียออกมาภายหลัง(สยองแท้.....)
เวลากำจัดไคจูเสร็จ ซากมันไม่ระเบิดตูมตาม หรือหายไปดื้อๆ เองแบบหนังสัตว์ประหลาดหลายเรื่อง
มนุษย์ต้องยุ่งยาก ตามเก็บกวาดซากศพไคจู เพราะมูล+เลือดไคจูเป็นพิษทั้งต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
ปกติหน่วยงานรัฐบาลจะช่วยเก็บกวาด+นำซากไคจูไปวิเคราะห์
แต่มนุษย์บางกลุ่มเชื่อว่าการรับประทานชิ้นส่วนอวัยวะไคจู ช่วยเสริมกำลังวังชา หรือเป็นยาอายุวัฒนะ
จึงเกิดการลักลอบเก็บชิ้นส่วนศพไคจูไปขายตามตลาดมืดด้วย
เยเกอร์(Jaeger)
ดริฟท์(The Drift)
พวกมันเคยมาโลกสมัยยุคไดโนเสาร์เพื่อทดสอบแล้ว แต่สภาพแวดล้อมไม่เป็นใจ จึงเฝ้ารอยาวนานหลายล้านปี
ครั้นมนุษย์ทำลายสิ่งแวดล้อม โอโซนบนชั้นบรรยากาศน้อยลง โลกเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนมอนน็อกไซด์ มลพิษปนเปื้อนน้ำ สภาพโลกเลยเหมาะสมสำหรับพวกนักล่าอาณานิคม ถึงได้ฤกษ์เปิดประตูมิติ ส่งไคจูมากวาดล้างมนุษย์ให้สิ้นซาก
นักล่าอาณานิคม เหล่าผู้มาก่อนมนุษย์ (Precursors = พรีเคอร์เซอร์ส)
ไคจู
ไคจูแต่ละตัวรูปร่าง ความสามารถแตกต่างกัน นักล่าอาณานิคมเริ่มลองเชิง ค่อยๆ ส่งไคจูมานานๆ ครั้ง ทีละตัวสองตัว พอไคจูถูกกำจัดก็ปรับปรุง-เปลี่ยนแปลงเพิ่มความร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งก่อนสงครามไคจูสิ้นสุด มนุษย์แบ่งระดับความร้ายกาจไคจูได้ถึง 5 ระดับ
- ไคจูใช้ 2 สมองเพื่อช่วยเคลื่อนไหวร่างกายอันใหญ่โตเหมือนไดโนเสาร์
- มีระบบความคิดเชื่อมต่อระหว่างแต่ละตัวแบบเครือข่าย(สมองไคจูเชื่อมโยงกันหมด รับรู้ความคิด, ความทรงจำไคจูตัวอื่นทุกอย่าง)
- มีปรสิตเกาะอยู่เหมือนสัตว์ทั่วไป
- สามารถตั้งครรภ์ได้
- เลือดไคจูเป็นพิษ
- ไคจูกินมนุษย์ และมีการขับถ่ายเป็นของเสียออกมาภายหลัง(สยองแท้.....)
เวลากำจัดไคจูเสร็จ ซากมันไม่ระเบิดตูมตาม หรือหายไปดื้อๆ เองแบบหนังสัตว์ประหลาดหลายเรื่อง
มนุษย์ต้องยุ่งยาก ตามเก็บกวาดซากศพไคจู เพราะมูล+เลือดไคจูเป็นพิษทั้งต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
ปกติหน่วยงานรัฐบาลจะช่วยเก็บกวาด+นำซากไคจูไปวิเคราะห์
แต่มนุษย์บางกลุ่มเชื่อว่าการรับประทานชิ้นส่วนอวัยวะไคจู ช่วยเสริมกำลังวังชา หรือเป็นยาอายุวัฒนะ
จึงเกิดการลักลอบเก็บชิ้นส่วนศพไคจูไปขายตามตลาดมืดด้วย
เยเกอร์(Jaeger)
หลังมนุษย์เผชิญภัยไคจูหลายครา ก็ตระหนักว่ามันจะมาเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น ทำให้ชาวโลกละวางความขัดแย้งทุกอย่าง รวมตัวเป็นหนึ่งเดียว ระดมสรรพกำลัง เค้นหาวิธีรับมืออันเหมาะสม
เพราะการใช้อาวุธนิวเคลียร์สังหารไคจูบ่อยๆ สภาพแวดล้อมคงเสียหายเกินรับไหว สร้างกำแพงป้องกันชายฝั่งก็ได้แค่ถ่วงเวลา
เพราะการใช้อาวุธนิวเคลียร์สังหารไคจูบ่อยๆ สภาพแวดล้อมคงเสียหายเกินรับไหว สร้างกำแพงป้องกันชายฝั่งก็ได้แค่ถ่วงเวลา
วิธีกำจัดไคจูเหมาะๆ คืออาวุธอานุภาพสูง+สามารถหยุดยั้งไคจูมิให้เคลื่อนตัวเข้าทำลายเมืองมากเกินไป
ตอนนักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นเยเกอร์ มองลูกชายเล่นของเล่นหุ่นยนต์ เลยนึกออกว่านี่แหละเหมาะเหม็ง
- เยเกอร์ = นักล่าในภาษาเยอรมัน เยเกอร์คือหุ่นยนต์ยักษ์รูปร่างคล้ายมนุษย์ ถูกสร้างไว้รับมือไคจูโดยเฉพาะ พร้อมรูปลักษณ์และอาวุธหลายแบบ เช่น ปืนพลาสมา, ปืนยิงจรวดจากหน้าอก, ดาบ เป็นต้น
- เยเกอร์ใช้คนขับสองคนเชื่อมต่อระบบประสาทร่วมกัน เพื่อช่วยเคลื่อนไหวเครื่องจักรอันใหญ่โต
- คนขับทั้งสองอยู่บนส่วนหัวเยเกอร์
- เยเกอร์รุ่นเก่าขับเคลื่อนด้วยเตาพลังงานนิวเคลียร์ ช่วงแรกเกราะป้องกันรังสียังพัฒนาไม่สมบูรณ์ นักขับรุ่นแรกเสี่ยงป่วยตายเพราะอาบรังสีเกินขนาด
- เยเกอร์รุ่นถัดมาเปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอล ไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อยว่าต่างกับระบบอนาล็อกแบบเก่ายังไง แต่ระบบใหม่ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องรังสีรั่วไหลใส่คนขับ
- คนขับทั้งสองอยู่บนส่วนหัวเยเกอร์
- เยเกอร์รุ่นเก่าขับเคลื่อนด้วยเตาพลังงานนิวเคลียร์ ช่วงแรกเกราะป้องกันรังสียังพัฒนาไม่สมบูรณ์ นักขับรุ่นแรกเสี่ยงป่วยตายเพราะอาบรังสีเกินขนาด
- เยเกอร์รุ่นถัดมาเปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอล ไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อยว่าต่างกับระบบอนาล็อกแบบเก่ายังไง แต่ระบบใหม่ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องรังสีรั่วไหลใส่คนขับ
ดริฟท์(The Drift)
ดริฟท์คือการกะจังหวะเหมาะๆ ดึงเบรคมือก่อนเข้าโค้ง เพื่อให้รถซิ่งปาดโค้งแบบสวยๆ ความเร็วไม่ตก.... เอ๊ย! ไม่ใช่ :P
เอาใหม่ๆ การขยับเครื่องจักรยักษ์-เยเกอร์ใช้วิธีเชื่อมต่อระบบประสาทมนุษย์ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการขับเคลื่อนเยเกอร์โดยตรง
ทำให้ [เยเกอร์ขยับเขยื้อนท่าทางตามความนึกคิดและการขยับร่างกายของคนขับ]
นักขับเยเกอร์จึงไม่จำเป็นต้องมีความรู้ใดๆ เรื่องเครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์ สำหรับควบคุมหุ่น
แต่การควบคุมเครื่องจักรใหญ่ยักษ์ สร้างภาระเกินสมองคนๆ เดียวรับไหว ฝืนทำอาจส่งผลกระทบหนักถึงตาย เลย [ต้องใช้คนขับสองคน]
- ดริฟท์ = การล่อง/เชื่อมต่อระบบประสาทสองนักขับ ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการขับเคลื่อนเยเกอร์
- ระหว่างดริฟท์เพื่อขับเยเกอร์คนขับจะรับรู้ความคิด+ความทรงจำทั้งหมดของอีกฝ่าย เหมือนเข้าสู่สมองอีกคน จนไม่มีความลับต่อกัน
- ดังนั้นหากนักขับเยเกอร์ใช้คนครอบครัวเดียวกัน, คนรัก หรือเพื่อนสนิท จะช่วยยกระดับความสามารถการขับเยเกอร์
- ข้อควรระวังระหว่างดริฟท์คือ การเสียสมาธิ หลุดไปติดกับความทรงจำขมขื่นในอดีตของตนเองหรือคนที่ขับคู่กัน
เยเกอร์จะเสียการควบคุม ไม่ยอมขยับ เปิดโอกาสไคจูเชือดนิ่มๆ อย่างง่ายดาย
- หากต้องการขับเยเกอร์กับคนแปลกหน้า แล้วห่วงว่าสามารถเข้ากันดีหรือไม่
มีวิธีทดสอบ คือประลองฝีมือด้วยการต่อสู้แบบตัวต่อตัว แลกเปลี่ยนกระบวนท่า ดูความสอดประสานรับกันของท่วงท่าการเคลื่อนไหว
ทำให้ [เยเกอร์ขยับเขยื้อนท่าทางตามความนึกคิดและการขยับร่างกายของคนขับ]
นักขับเยเกอร์จึงไม่จำเป็นต้องมีความรู้ใดๆ เรื่องเครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์ สำหรับควบคุมหุ่น
แต่การควบคุมเครื่องจักรใหญ่ยักษ์ สร้างภาระเกินสมองคนๆ เดียวรับไหว ฝืนทำอาจส่งผลกระทบหนักถึงตาย เลย [ต้องใช้คนขับสองคน]
- ดริฟท์ = การล่อง/เชื่อมต่อระบบประสาทสองนักขับ ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการขับเคลื่อนเยเกอร์
- ระหว่างดริฟท์เพื่อขับเยเกอร์คนขับจะรับรู้ความคิด+ความทรงจำทั้งหมดของอีกฝ่าย เหมือนเข้าสู่สมองอีกคน จนไม่มีความลับต่อกัน
- ดังนั้นหากนักขับเยเกอร์ใช้คนครอบครัวเดียวกัน, คนรัก หรือเพื่อนสนิท จะช่วยยกระดับความสามารถการขับเยเกอร์
- ข้อควรระวังระหว่างดริฟท์คือ การเสียสมาธิ หลุดไปติดกับความทรงจำขมขื่นในอดีตของตนเองหรือคนที่ขับคู่กัน
เยเกอร์จะเสียการควบคุม ไม่ยอมขยับ เปิดโอกาสไคจูเชือดนิ่มๆ อย่างง่ายดาย
- หากต้องการขับเยเกอร์กับคนแปลกหน้า แล้วห่วงว่าสามารถเข้ากันดีหรือไม่
มีวิธีทดสอบ คือประลองฝีมือด้วยการต่อสู้แบบตัวต่อตัว แลกเปลี่ยนกระบวนท่า ดูความสอดประสานรับกันของท่วงท่าการเคลื่อนไหว
หน่วยป้องกันแพน แปซิฟิค (Pan Pacific Defense Corps)
องค์กรอันเกิดจากการรวมตัวของเหล่าประเทศรอบบริเวณแปซิฟิค ริม ต้านรับมหันตภัย-ไคจู ดูแลบริหาร-จัดการโครงการเยเกอร์เต็มรูปแบบ
- สร้างฐานทัพแชตเตอร์โดม(Shatterdome) ไว้สร้าง, เก็บรักษา, ซ่อมบำรุงเยเกอร์ ตามเมืองชายฝั่งนานาประเทศรองรับภัยไคจู
- เฟ้นหานักขับเยเกอร์มากพรสวรรค์ สร้างโรงเรียนสอนพื้นฐาน ฝึกฝนนักขับให้เก่งกาจ
- สนับสนุนการวิจัยไคจู และพัฒนาเยเกอร์อย่างมีประสิทธิภาพ
COMMENTS