ผ่านการปูทางเนื้อเรื่องด้วยหนัง 18 ภาค ใช้ระยะเวลานานร่วม 10 ปี ในที่สุด Avengers: Infinity War อันนำตัวละครมากหน้าหลายตาจากหนังหลากเรื่องม...
ผ่านการปูทางเนื้อเรื่องด้วยหนัง 18 ภาค ใช้ระยะเวลานานร่วม 10 ปี
ในที่สุด Avengers: Infinity War อันนำตัวละครมากหน้าหลายตาจากหนังหลากเรื่องมาปะฉะดะ กับกองกำลังของจอมวายร้ายแห่งอวกาศ 'ธานอส' ก็ได้ฉายไปเมื่อปีก่อน (2018)
และถึงแม้ผู้คนรู้ล่วงหน้าว่าหนังรวมพลฮีโร่เรื่องดังกล่าวยังมิใช่บทสรุปแท้จริงของเรื่องราวช่วง 10 ปีแรกแห่งจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล
แต่คงไม่มีผู้ชมคนใดคาดคิด ณ ตอนนั้น ว่ามหาสงครามแย่งชิงอัญมณีที่มีพลังสูงส่งเหลือล้ำทั้ง 6 เม็ด จะจบลงด้วยความสำเร็จของธานอส
ต่างจากวายร้ายทั่วไปที่บางครั้งชักช้าจนเป้าหมายถูกเหล่าฮีโร่ขัดขวางไว้ได้ก่อนทำสำเร็จ
เมื่อธานอสรวบรวมอัญมณีครบก็ไม่เสียเวลานาน, ดีดนิ้วส่งสัญญาณ และใช้พลังมณีอินฟินิตี้ (Infinity Stone) ทั้งหมดพร้อมกัน ดับชีวิตครึ่งจักรวาลให้สิ้นโดยฉับพลัน
เหล่าฮีโร่พ่ายแพ้ และความสูญเสียแพร่กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
หลังปล่อยให้จบแบบอารมณ์ค้าง แล้วปล่อยหนังฮีโร่ภาคแยกคั่น 2 เรื่อง
บัดนี้ปี 2019, ช่วงเวลาเผด็จศึก (Endgame) จึงมาถึง, กลุ่มอเวนเจอร์สผู้เหลือรอดจะไม่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมเฉยๆ
แต่พวกเขาจะกลับมาชนะศึกนี้ได้อย่างไร ?
เป็นสิ่งที่คนดูต้องพยายามหลบสปอยล์กันให้ดี และไปลุ้นกันที่ในโรงภาพยนตร์
ก่อนรับชม Endgame, การย้อนมองสงครามอินฟินิตี้สักหน่อยย่อมเพิ่มอรรถรสในการรับชมได้ไม่มากก็น้อย
ฉะนั้นจึงขอรวบรวมเรื่องน่ารู้ต่างๆ ของสงครามอินฟินิตี้ ที่ทั้งมีตัวละครเยอะแยะ และเกิดเหตุการณ์มากมาย
ซึ่งหลายอย่างมิได้ถูกบอกเล่าไว้ในภาพยนตร์ (หรือบอกไว้แบบไม่ชัดเจนนัก)
จนบรรดาผู้เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ (หลักๆ ก็พี่น้องผู้กำกับร่วมของ Infinity War กับ Endgame) ต้องชี้แจงแถลงไขตามหลังหนังฉาย
เอากลับมานำเสนอใหม่ เพื่อให้ผู้สนใจเครื่องร้อนต้อนรับ Endgame ครับ
[1] สตีเฟน แม็คฟีลีย์ (คนเขียนบท) +โจ รุสโซ (ผู้กำกับ) เผยสาเหตุที่ธานอสเพิ่งจะเริ่มลงมือไล่เก็บมณีด้วยตนเองจริงจัง ในหนังเรื่องอินฟินิตี้วอร์
แม็คฟีลีย์: "เหตุการณ์ซึ่งจุดชนวนให้เกิดเรื่องทั้งหมดในหนังขึ้น คือตอนที่ธานอส...จับตัวเนบูลาได้บนยานของเขา และสำรวจสมองของเธอ จนพบว่ากามอร่ารู้ที่อยู่ของมณีวิญญาณ"
โจ รุสโซ: "มันคือเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ได้..."
แม็คฟีลีย์: "ทำไมเขาไม่ได้ออกตามหามันเองก่อนหน้านี้"
โจ รุสโซ: "...เพราะเมื่อเขาลงมือ, กองกำลังต่างๆ ทั่วจักรวาลจะรวมตัวกันต่อต้านเขา ถ้าเขาไม่รู้ว่ามณีวิญญาณอยู่ไหน, แล้วจะลงมือทำไม ?"
หรือก็คือ ธานอสเพิ่งตัดสินใจลงมือเอง เพราะมั่นใจแล้วว่าจะรวบรวมมณีได้ครบแน่
[2] เมื่อถูกถามว่าการดีดนิ้วครั้งเดียวเสียวทั้งจักรวาลของธานอสนั้น ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากมนุษย์ เช่น ม้า หรือว่า มด หายไปครึ่งจักรวาลด้วยหรือไม่? คำตอบคือ
"ใช่ ! ใช่ ทุกชีวิต" เควิน ไฟกีตอบ
แปลว่าหมา, แมว, เก้ง, กวาง หรือต้นไม้ใบหญ้า (สิ่งมีชีวิตเหมือนกัน) ไม่ว่าอะไรก็โดนลบทิ้งให้เหลือครึ่งเดียวจนหมด
[3] สืบเนื่องจากข้อ 2 การกระทำของธานอสเลยดูรุนแรง แถมเผลอๆ แก้ปัญหาอารยธรรมต่างๆ ในห้วงอวกาศล่มสลาย เพราะประชากรเกินขนาดไม่ได้จริงๆ
การที่ธานอสเลือกวิธีลบชีวิตครึ่งจักรวาล แทนการใช้วิธีสันติ เช่น เพิ่มปริมาณทรัพยากร
ก็เพื่อพิสูจน์ว่าแนวคิดของตัวเองคือสิ่งถูกต้อง
"ผู้คนถามเราว่าทำไมธานอสไม่ใช้มณีเพิ่มทรัพยากรในจักรวาลเป็น 2 เท่า แถมเห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่ยอมทำ...คือ เขาเคยถูกปฏิเสธแนวคิดเก่าของตน ที่เขารู้สึกว่าเป็นวิธีเดียวในการแก้ปัญหา และต่อมาก็มีข้อพิสูจน์เกิดตามมาหลังจากแนวคิดเขาไม่ถูกนำไปใช้ มันคือปมการเป็นพระผู้มาโปรดของเขา--เขามุ่งมั่นแต่จะทำตามแนวคิดของตน เมื่อหลายต่อหลายปีก่อน" โจ รุสโซ กล่าว
นั่นคือต่อให้ใช้ถุงมืออินฟินิตี้กับมณีทั้งหกช่วยจักรวาลด้วยวิธีอื่นได้ ธานอสก็ไม่คิดจะทำเช่นนั้น
[4] คนเขียนบท+ผู้กำกับอินฟินิตี้วอร์อธิบายว่า ทำไมวายร้ายระดับจักรวาลอย่างธานอสถึงรู้จักชื่อโทนี่ สตาร์ค ตั้งแต่ก่อนพบหน้าตัวเป็นๆ
"ธานอสกับโทนี่เป็นเหมือนเส้นขนานที่น่าสนใจ ทั้งคู่ตระหนักถึงบางสิ่งตั้งแต่ช่วงแรกๆ และพยายามพัฒนาตัวเองเพื่อรับมือตลอด ธานอสเองก็เป็นคนหัวก้าวหน้าเหมือนๆ กับโทนี่ สตาร์ค" มาร์คัส-คนเขียนบทบอก
"เขาตระหนักถึงสตาร์คครั้งแรกในศึกถล่มนิวยอร์ค, ว่าเป็นคนที่ขัดขวางแผนครั้งนั้นไว้ มันน่าสนใจเพราะว่าพอธานอสเริ่มหันมาออกหน้าลงมือด้วยตัวเอง
เขาทำตัวแบบพวกนักรบศักดิ์สิทธิ์ ไม่ยอมเสียพลังงานไปกับการฆ่าฟันอันเปล่าประโยชน์ หากอีกฝ่ายไม่เป็นภัยต่ออุดมการณ์ของเขา เกือบทุกคนไม่ใช่ภัยคุกคามอุดมการณ์, ยกเว้นโทนี่ ที่เขารู้สึกได้ว่ามีส่วนคล้ายกับตนเอง" โจ รุสโซ เล่า
--สรุป--ธานอสรู้จักโทนี่เพราะเขาคือคนที่ขวางแผนบุกโลกครั้งแรกไว้ และเช่นเดียวกับที่โทนี่ระวังภัยจากธานอสมาตลอด, ธานอสเองก็ระแวงว่าโทนี่ซึ่งเป็นพวกหัวก้าวหน้า+พัฒนาตัวเองเสมอเหมือนตนจะเป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่เช่นกัน
[5] หนังในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลมิได้เรียงลำดับเหตุการณ์ ตามลำดับการฉายตลอด
แถมถุงมืออินฟินิตี้ (ของปลอม) ยังโผล่มาตั้งแต่สมัย Thor ภาค 1 ทำให้เกิดความสับสนตามมาอยู่บ้าง
คู่หูผู้เขียนบทหนังอินฟินิตี้วอร์ 'คริสโตเฟอร์ มาร์คัส และสตีเฟ่น แม็คฟีลีย์' จึงต้องตอบคำถามว่าถุงมืออินฟินิตี้ของธานอสนั้นไซร้ ถูกสร้างขึ้นเมื่อไหร่ ?
"ผมคิดว่าถุงมือถูกสร้างตอนโลกิปลอมตัวเป็นโอดิน" มาร์คัสตอบ "เดาว่าเอทรี่ยังดำเนินกิจการตามปกติอยู่ ณ ตอนนั้น แล้วจะมีคนไปเยือนที่นั่นและบอกอะไรบางอย่าง ดังนั้นมันไม่ได้นานอะไรนักหรอก"
มาร์คัสคงกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ธานอสขู่ให้ราชาคนแคระ-เอทรี่สร้างถุงมือแลกกับการไว้ชีวิตเหล่าคนแคระ ก่อนธานอสผิดสัญญาภายหลัง ว่ามันเกิดขึ้นช่วงระหว่างโลกิครองบัลลังก์แอสการ์ดหลังเหตุการณ์ในหนัง Thor ภาค 2
[6] ในทวิตเตอร์ทางการของหนังอินฟินิตี้วอร์, พี่น้องรุสโซได้ตอบคำถามเกี่ยวกับกะโหลกแดง (Red Skull) ว่าหลังจากมณีวิญญาณถูกนำออกไปจากดินแดนวอร์เมียร์ (Vormir) แล้ว
กะโหลกแดงจะเป็นอิสระจากคำสาปที่ต้องคอยเฝ้ามณี+นำทางคนที่อยากได้มัน แล้วออกจากสถานที่แห่งนั้นได้จริงใช่ไหม ?
คำตอบคือ "กะโหลกแดงเป็นอิสระ จะจากวอร์เมียร์ไปก็ได้ หรือถ้าอยากทำตามความต้องการเดิมอย่างการหามณีมาครองก็ทำได้เช่นกัน"
[7] มณีอินฟินิตี้ทั้ง 6 ส่วนใหญ่ เพียงเห็นตอนสำแดงพลังก็เข้าใจคุณสมบัติของมันทันที เช่น มณีเวลาที่ย้อนเวลาได้ หรือมณีพลังที่ใช้ทำลายล้าง แต่มณีวิญญาณยังค่อนข้างเป็นปริศนาอยู่
พี่น้องรุสโซ/ผู้กำกับอินฟินิตี้วอร์ จึงอธิบายลักษณะการทำงานของมณีวิญญาณให้ว่า
"แน่ละว่ามณีวิญญาณมีพลังที่จะจัดการ 'วิญญาณ' สิ่งที่เป็นแกนหลักกำหนดตัวตนของคุณได้ เหตุการณ์สำคัญอันสมควรหยิบยกเป็นตัวอย่างคือตอนดร.สเตรนจ์แยกร่าง ธานอสรับมือโดยใช้มณีวิญญาณลบสเตรนจ์ตัวปลอมทิ้งทั้งหมด แถมผลักวิญญาณสเตรนจ์หลุดออกจากร่าง เขาเลยต้องรีบดึงวิญญาณกลับ...
ธานอสเข้าไปใน 'โลกของมณีวิญญาณ' เพื่อคุยกับลูกสาวที่ตายไป(กามอรา)ได้ และความจริงเขาสามารถ 'คืนชีพ' รวมถึง 'เรียก' วิญญาณของเหล่าผู้คนที่ตายแล้วให้มาปรากฏตัวได้ด้วย"
ตอนแรกจำได้ว่าธานอสใช้มณีพลังสลายร่างแยกสเตรนจ์เลยลองไปเช็คดู
ปรากฏว่า ธานอสใช้มันร่วมกับพลังของมณีวิญญาณ (ใช้ 2 เม็ดพร้อมกัน) สเตรนจ์เลยไม่โดนแค่ลบร่างแยก แต่โดนเขย่าวิญญาณเกือบหลุดออกนอกร่างเพิ่มอีกดอก
[8] ผู้ดูแลงานสร้างเทคนิคพิเศษของภาพยนตร์ให้สัมภาษณ์ว่า ฉากการสลายหายไปของเหล่าตัวละครในตอนจบอินฟินิตี้วอร์ มีแนวคิดที่ให้การสลายคนเกิดจากการใช้มณีพลัง (Power Stone) เป็นหลัก เนื่องจาก
"มันมีเหตุผลอยู่ แบบว่าถ้ามณีทั้ง 6 มารวมกันครบแล้ว มณีเม็ดไหนควรจะ...การใช้มณีร่วมกันควรทำให้เกิดผลลัพธ์แบบไหน? มณีวิญญาณจะสลายวิญญาณพวกเขาหรือ ? มณีพลังสลายร่างใช่ไหม ? แล้วมณีประตูมิติ (Space Stone) จะดูดฝุ่นผงไปหลังร่างสลายเหรอ ? ช่วงแรกๆ ที่เราลองผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันมันสวยงามไม่เบา แต่ก็ยุ่งยากน่าดูเลยละ ประมาณว่า...ถ้าใส่เอฟเฟ็กต์มณีวิญญาณต้องมามัวทำให้พวกเขาไฟลุกพรึ่บขึ้นก่อนสลายร่างอีก เราเลยกลับไปใช้แนวคิดแบบง่ายๆ (สลายร่างเฉยๆ) แทน"
[9] ดูเหมือนฉากการลบบรรดาตัวละครของจักรวาลหนังมาร์เวลจะมุ่งเน้นทีี่การสร้างความเจ็บปวดต่อเหล่าตัวละครผู้รอดชีวิต และคนดูเป็นหลัก
เพราะแอนโธนี่ รุสโซ-ผู้กำกับอินฟินิตี้วอร์ อธิบายเกี่ยวกับฉากลบตัวละครหมู่ในหนังว่า
"ในแง่ทางเลือกของเราเรื่องใครจะโดนธานอสดีดนิ้วลบไปนั้น มันขึ้นอยู่กับเนื้อเรื่องเป็นหลัก เราควรตอบแทนเรื่องราวที่ผ่านมาของตัวละครแต่ละตัวแบบไหนถึงจะซาบซึ้งมากที่สุด ?
คนแรกที่ต้องไปคือบัคกี้ บาร์นส์ และฉากนั้นต้องถ่ายจากมุมมองของกัปตันอเมริกา คุณก็รู้ว่าเราเคยดูกัปตันฯ ผ่านประสบการณ์ที่ต้องมองเห็นบัคกี้เพื่อนรักจากไปมาก่อน
เรารู้ว่าโอโคเย มีเป้าหมายอันดับหนึ่งของชีวิตเป็นการปกป้องราชา เธอเลยต้องมองดูราชาสลายหายไปต่อหน้าต่อตา
การเห็นเหล่าตัวละครตอบสนองสถานการณ์เหล่านั้น ช่างมีความหนักแน่นและทรงพลังยิ่งนัก"
[10] ตอนจบอินฟินิตี้วอร์ ธานอสทำตามปณิธานสำเร็จ ลบคนทิ้งครึ่งจักรวาล มีตัวละครโดนลบทิ้งสลายกลายเป็นฝุ่นผงแบบไม่ทันตั้งตัวมากมาย บางคนดูจะไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ
แต่ดูเหมือนสไปเดอร์แมนจะพอรู้ตัว และสลายหายไปช้ากว่าใครเพื่อน
'แมตต์ ไอเค่น'(Matt Aiken) หัวหน้าทีมสร้างเทคนิคพิเศษของ Weta ซึ่งช่วยมาร์เวลสร้างฉากนี้อธิบายว่า "สไปดี้ขัดขืนมันจริงๆ เขาไม่อยากหายไปสุดๆ และดิ้นรนต่อสู้.... เขาทรงพลังเหลือเชื่อยามเผชิญหน้าความตาย เลยต่อต้านมันได้นานกว่าใครเพื่อน ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ต้านมันไว้ไม่ไหว"
แต่แมตต์ไม่ใช่คนของมาร์เวล จึงมีการสอบถามผู้กำกับ 'โจ รุสโซ' เพื่อยืนยันทฤษฎีนี้ และโจก็ยืนยันว่า "ถูกต้องแล้ว เขา (สไปเดอร์แมน) รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง"
[11] ด้วยความที่กรูทมีคำพูดสำหรับใช้สื่อสารเพียงชุดเดียว "ข้าคือกรู๊ท" (I am Groot) คนดูจึงไม่อาจทราบได้จากการดูหนัง ว่าตอนกรู๊ทถูกลบทิ้งพร้อมสิ่งมีชีวิตอื่นครึ่งจักรวาล เขาบอกอะไรกับร็อคเก็ตก่อนตาย
มีคนสอบถามเรื่องนี้กับเจมส์ กันน์-ผู้กำกับหนังการ์เดี้ยน
ทางทวิตเตอร์ เขาเฉลยให้ทราบว่ามันเป็นเพียงคำพูดสั้นๆ คำเดียวคือ "Dad = พ่อ"
หลังกรู๊ทคนแรกตาย สมาชิกทีมการ์เดี้ยนช่วยกันเลี้ยงดูกรู๊ทคนใหม่จนเติบโตเป็นวัยรุ่น ทำให้ทุกคนเป็นผู้ปกครองกรู๊ทร่วมกันโดยปริยาย แต่ตามปกติก็คงมีสักคนที่เด็กเห็นเขาเป็นตัวแทนพ่อแม่อย่างแท้จริง ซึ่งสำหรับกรู๊ทแล้ว คงไม่พ้นร็อคเก็ตที่เขาเรียกว่าพ่อก่อนตายนั่นเอง
[12] ใน Guardians of the Galaxy แดร็กซ์เคยบอกว่า "โรแนนฆ่าเมียฉัน-โฮวัต กับลูกสาว-คามาเรีย เขาสังหารพวกเธอตรงที่ยืนอยู่ แล้วก็หัวเราะ!" แต่เมื่อโรแนนตายไปใช่ว่าความแค้นเขาจะหายตาม เพราะผู้กำกับ 'โจ รุสโซ' อธิบายฉากแดร็กซ์และเพื่อนร่วมทีมการ์เดี้ยนเยือน Knowhere (ที่ิิอยู่ของนักสะสม/The Collector) เพื่อขวางการรวบรวมมณีของธานอสว่า
"นี่สะท้อนความหลังครั้งเก่าของแดร็กซ์กับธานอส...ดาวของเขาเคยถูกกระทำแบบเดียวกันกับดาวของกามอร่า แดร็กซ์โดนจับให้ยืนอยู่ฝั่งหนึ่ง ส่วนครอบครัวของเขาก็โดนจับไปไว้ที่อีกฝั่ง"
แปลว่าความจริงนั้น ต้นเหตุการตายของครอบครัวแดร็กซ์คือธานอส โรแนนเป็นแค่คนทำตามคำสั่ง
[13] ความหัวร้อนของสตาร์ลอร์ดตอนปะทะธานอสทำให้แผนถอดถุงมืออินฟินิตี้ล้มเหลว แฟนหนังหลายคนพากันหัวเสียกับเรื่องนี้ และอาจมีคนคิดว่ามันขัดกับฉากที่เขาตัดใจยิงปืนสังหารกามอร่า (ก่อนธานอสใช้มณีเปลี่ยนกระสุนเป็นฟองสบู่) ซึ่งแปลว่าสตาร์ลอร์ดเห็นความสำคัญของการทำสิ่งที่ควรกระทำมากกว่ากระทำสิ่งใดไปตามอารมณ์ส่วนตัว
แต่เรื่องนี้ 'แม็คฟีลีย์' คนเขียนบทร่วมของอินฟินิตี้วอร์ได้ปรึกษากับ 'เจมส์ กันน์' ก่อนแล้ว "นี่เป็นเรื่องเดียวที่เจมส์ กันน์ผลักดันให้เราเปลี่ยนบท เราถกกันเกี่ยวกับการตัดสินใจของสตาร์ลอร์ดที่จะยิงกามอร่าหลายรอบ เราพยายามบอกว่า 'จะดีกว่าไหมถ้าสตาร์ลอร์ดไม่เติมเต็มคำสัญญาและฆ่าผู้หญิงทีี่เขารัก ?'
มันไม่ใช่วิถีฮีโร่ตามธรรมเนียม เราพยายามปูทางสู่จุดที่ความผิดพลาด (ตอนถอดถุงมือ) เกิดขึ้น เพราะความรักของเขาต่อเธอสำคัญกว่าหน้าที่ในทางใดทางหนึ่ง
แล้วกันน์กับแพรตต์ (สตาร์ลอร์ด) ก็ยืนกรานสิ่งที่สตาร์ลอร์ดควรทำ เราเลยเขียนบทแบบนั้นและแน่นอน, มันไม่ส่งผลเสียต่อการเล่าเรื่อง เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นมันก็คงไม่เวิร์คหรอก"
[14] เคยเห็นการถกเถียงกันว่าภารกิจชิงถุงมืออินฟินิตี้จากธานอสล่มเพราะสตาร์ลอร์ดจริงหรือไม่อยู่ ฝ่ายแก้ต่างให้ได้บอกว่าสุดท้ายก็ดึงถุงมือไม่หลุดอยู่ดี หรือถึงโดนดึงหลุดเขาก็ชิงคืนได้แน่ แต่พี่น้องรุสโซ/ผู้กำกับหนังยืนยัน 'มันเป็นความผิดของสตาร์ลอร์ด' เต็มๆ
"นั่นคือจุดเปลี่ยนของฉากดังกล่าว ตัวละครเหล่านี้เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง นั่นทำให้พวกเขาเลือกทำตามอารมณ์, ตามความเป็นมนุษย์ของตน ถ้าควิลล์(สตาร์ลอร์ด)ไม่ทำแบบนั้น หนังจะจบลงทันใด" โจ รุสโซบอก
[15] 'โจและแอนโธนี่ รุสโซ' สองพี่น้องผู้กำกับอินฟินิตี้วอร์กล่าวปกป้องตัวละครสตาร์ลอร์ด หลังมีกระแสเกลียดชังของแฟนหนังต่อตัวละครเพราะดัันทำงามหน้าตอนสู้กับธานอส
"แม่เขาตายเพราะมะเร็งและโดนโจรสลัดอวกาศลักพาตัวตอนอายุ 10 ขวบ แล้วถูกเลี้ยงดูโดยโจรสลัดมาตลอด
เขาสังหารพ่อตัวเองล้างแค้นให้แม่ แถมแฟนสาวที่เขารักใคร่ยังมาถูกฆาตกรรมโดยคนที่เป็นพ่อจอมโฉด... เขาจึงกระทำสิ่งที่เป็นไปตามอารมณ์อย่างมาก" โจกล่าว
"ธอร์เองก็ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ ธอร์สามารถใช้ขวานของเขาฆ่าธานอสได้ไวกว่านั้น ซึ่งเขาปรากฏตัว, และไม่สังหารในทันใด--เพราะความโกรธแค้น, และเพราะแรงผลักดันของมัน--เพื่อบอกธานอสว่าแกกำลังจะตาย...แล้วเผด็จศึกแบบช้าๆ ธอร์ถูกอารมณ์พาไปให้หลงทางในแบบเดียวกับสตาร์ลอร์ด และมีส่วนร่วมต่อการรับผิดชอบเรื่องธานอสเช่นกัน" แอนโธนี่กล่าว
[16] ในอินฟินิตี้วอร์ ธอร์เสียเวลาสร้างอาวุธใหม่ 'สตอร์มเบรคเกอร์' นานพอดู แต่ขวานค้อนอันใหม่ก็แสดงศักยภาพร้ายกาจให้เป็นที่ประจักษ์ช่วงท้ายเรื่อง และถ้าใครอยากรู้ชัดๆ เลยว่าระหว่างสตอร์มเบรคเกอร์กับถุงมืออินฟินิตี้ของธานอสอะไรทรงพลังกว่า ขอบอกให้ชัดเลย "สตอร์มเบรคเกอร์ทรงพลังกว่า" ครับ
คนเขียนบทร่วมของหนัง-มาร์คัสและแม็คฟีลี่ย์ ให้รายละเอียดเอาไว้ดังนี้ "ผมจินตนาการว่ามันเป็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่คนสร้างอาวุธทั้งสองชิ้นคือคนเดียวกัน" มาร์คัสกล่าวถึง 'Eitri-เอทรี่' ราชาคนแคระ "มันเป็นเวทมนตร์ของคนแคระ"
และ "เอทรี่สร้างสิ่งที่เขาชอบให้แก่คนที่เขาชอบ" แม็คฟีลี่ย์เสริม
--สรุป-- ความแข็งแกร่งของอาวุธที่สร้างโดยคนแคระไม่เกี่ยวกับโลหะหรือวัสดุใดๆ แต่ขึ้นอยู่กับเวทมนตร์ซึ่งคนแคระใส่ตอนสร้างอาวุธ และเอทรี่สร้างถุงมืออินฟินิตี้ให้มีจุดอ่อนไว้ (เหมือนเดธสตาร์ในสตาร์วอร์ส) ทำให้ถุงมือแพ้ทางสตอร์มเบรคเกอร์
[17] โจ รุสโซเผยว่าตอนพัฒนาบทของอินฟินิตี้วอร์ มีการเปลี่ยนสถานที่อันเป็นแหล่งที่มาของอาวุธใหม่หลายครั้ง และมีบทหนังฉบับที่ธอร์ได้เดินทางไปพบวิญญาณบรรพบุรุษด้วย แต่สุดท้ายก็กลายเป็นอย่างในหนัง
ส่วนเหตุผลที่อินฟินิตี้วอร์ เสียเวลาบอกเล่าภารกิจสร้างอาวุธใหม่ บวกด้วยการเน้นดราม่าชีวิตของธอร์มากกว่าฮีโร่คนอื่นก็เพราะ
"เราอยากสร้างความรู้สึกว่าธอร์จะเป็นคนกู้วิกฤติในหนัง ภารกิจสร้างอาวุธใหม่เพื่อสังหารธานอสของธอร์ จึงเป็นส่วนสำคัญของเรื่องราวและใช้เวลาบอกเล่าค่อนข้างมาก เราเน้นดราม่าชีวิตเขาหนักๆ เพื่อให้ผู้คนมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องนี้--เพื่อให้ผู้ชมเปี่ยมล้นด้วยความรู้สึก เมื่อไปถึงจุดสุดยอด (climax) ของหนัง"
[18] มีคนตั้งข้อสังเกตว่าตอนขวานค้อนผ่าวายุ 'Stormbreaker-สตอร์มเบรคเกอร์' ตีเสร็จใหม่ๆ กรูทได้ยกมันขึ้นจากพื้นก่อนยอมตัดแขนของตนข้างหนึ่งให้กลายเป็นด้ามจับของอาวุธ แสดงว่ากรูทนั้นคือผู้ 'คู่ควร' เหมือนธอร์กับวิชั่นใช่หรือไม่ ?
"โยเนียร์ต้องการผู้คู่ควร, สตอร์มเบรคเกอร์ไม่ต้อง" คือคำตอบของพี่น้องรุสโซ จากทวิตเตอร์ทางการของหนังอินฟินิตี้วอร์
[19] ฉากแถมท้ายหนัง Black Panther แสดงภาพบัคกี้เพื่อนซี้กัปตันอเมริกาตื่นจากจำศีล ก่อนคนดูหนังจะเห็นหน้าค่าตาเขาอีกทีในอินฟินิตี้วอร์
บางคนอาจสะกิดใจว่ากัปตันฯ เห็นเพื่อนตื่นขึ้นมาแล้วทำไมไม่ค่อยทำท่าแปลกใจหรือดีใจอะไรเป็นพิเศษ
สาเหตุเพราะทั้งคู่มีโอกาสพบกันนอกจอในช่วงระหว่างหนังแบล็คแพนเธอร์กับอินฟินิตี้วอร์แล้วนั่นเอง
โจ รุสโซผู้กำกับร่วมของอินฟินิตี้วอร์เผย "ผมคิดว่าสตีฟ, ผู้หลบหนีมาตลอดตั้งแต่ Civil War มีการติดต่อกับชูริและทีชาลลาอย่างสม่ำเสมอ เขากำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่ละ แต่ผมคิดว่าเขาหาทางกลับไปวาคานด้าได้ราวสองสามครั้ง...และนั่นส่งผลให้เรา (โจ+แอนโธนี่) กำกับฉากดังกล่าวแบบนั้น, นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาพบกันตั้งแต่บัคกี้ตื่น"
[20] ฮัลค์พ่ายแพ้แก่ธานอสตั้งแต่ต้นเรื่องของอินฟินิตี้วอร์ จากนั้นก็เก็บตัวยาวตลอดเรื่อง 'บรูซ แบนเนอร์' จึงจำต้องใช้เกราะไอร์ออนแมนไซส์เบิ้มต่อสู้ช่วยเหลือผองเพื่อน ทำให้คนดูพากันคิดว่าฮัลค์หวาดกลัวธานอสจนไม่ยอมสู้ แต่ความจริงการเก็บเนื้อเก็บตัวของฮัลค์เป็นเพราะสาเหตุอื่นต่างหาก
'โจ รุสโซ'-ผู้กำกับร่วมอินฟินิตี้วอร์ต้องการสร้างสถานการณ์ บีบบังคับให้ 'บรูซ แบนเนอร์' ทำตัวเป็นฮีโร่บ้าง ไม่ใช่พึ่งพาพละกำลังฮัลค์เอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันเสมอ
ส่วนฮัลค์ผู้ชื่นชอบการต่อสู้อย่างสนุกสนานนั้น ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ใน Thor: Ragnarok กับการลิ้มรสความพ่ายแพ้ และฮัลค์กับแบนเนอร์แย่งกันครอบครองร่างมาตลอด ฮัลค์จึงเริ่มตั้งคำถามว่าทำไมมันต้องช่วยแบนเนอร์ด้วย ? ในเมื่อแบนเนอร์ต้องการตัวมันเฉพาะเวลาต่อสู้
--สรุป+ตีความ-- ฮัลค์เคยครองร่างแบนเนอร์นานกว่า 2 ปีจนเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองชัดเจน และเมื่อการต่อสู้ไม่สนุกอีกต่อไป
ฮัลค์เลยไม่อยากช่วยแบนเนอร์ ที่มองเห็นมันเป็นแค่ตัวช่วยยามคับขันอีกแล้ว (งอนแบนเนอร์นี่เอง)
[21] 'ซามูเอล แอล. แจ๊คสัน' ชี้แจงให้ทราบชัดๆ ว่าทำไมก่อนธานอสลบชีวิิตครึ่งจักรวาล ตัวละครของเขาอย่าง 'นิค ฟิวรี่' ดันไม่เคยเรียกตัวกัปตันมาร์เวลมาโลกเลย แม้เคยเกิดภัยพิบัติใหญ่ก่อนหน้าหลายวาระ
"หล่อนบอกว่าเฉพาะยามฉุกเฉินจริงๆ ซึ่งในเหตุการณ์ฉุกเฉินอื่นอย่างเช่นเอเลี่ยนบุกโลกนั่น คนอื่นๆ นั้นก็สามารถรับมือมันได้ ไม่ใช่ระดับเดียวกับเหตุวุ่นวายที่คนหายไปครึ่งจักรวาล
เราเพิ่งเจอเหตุฉุกเฉินครั้งประวัติการณ์ ที่ฟิวรี่รู้สึกต้องการตัวเธอมาช่วยด่วน ถ้าให้ระบุชัดๆ คือฟิวรี่ไม่รู้จะสู้ยังไงถ้าตัวเองไม่อยู่ด้วย เขาจำเป็นต้องเรียกใครสักคนที่รับมือไหวมา เวลาดังกล่าวฮีโร่คนอื่นๆ ไม่สามารถติดต่อได้ และพวกเขาสุดยอดตอนรับมือวิกฤติระดับโลกแบบทั่วไป แต่กับการรับมือนักเลงอวกาศที่ครอบครองมณีอินฟินิตี้ครบทุกเม็ดนั่น เราต้องการอะไรที่มากกว่านั้น"
ในที่สุด Avengers: Infinity War อันนำตัวละครมากหน้าหลายตาจากหนังหลากเรื่องมาปะฉะดะ กับกองกำลังของจอมวายร้ายแห่งอวกาศ 'ธานอส' ก็ได้ฉายไปเมื่อปีก่อน (2018)
และถึงแม้ผู้คนรู้ล่วงหน้าว่าหนังรวมพลฮีโร่เรื่องดังกล่าวยังมิใช่บทสรุปแท้จริงของเรื่องราวช่วง 10 ปีแรกแห่งจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล
แต่คงไม่มีผู้ชมคนใดคาดคิด ณ ตอนนั้น ว่ามหาสงครามแย่งชิงอัญมณีที่มีพลังสูงส่งเหลือล้ำทั้ง 6 เม็ด จะจบลงด้วยความสำเร็จของธานอส
ต่างจากวายร้ายทั่วไปที่บางครั้งชักช้าจนเป้าหมายถูกเหล่าฮีโร่ขัดขวางไว้ได้ก่อนทำสำเร็จ
เมื่อธานอสรวบรวมอัญมณีครบก็ไม่เสียเวลานาน, ดีดนิ้วส่งสัญญาณ และใช้พลังมณีอินฟินิตี้ (Infinity Stone) ทั้งหมดพร้อมกัน ดับชีวิตครึ่งจักรวาลให้สิ้นโดยฉับพลัน
เหล่าฮีโร่พ่ายแพ้ และความสูญเสียแพร่กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
หลังปล่อยให้จบแบบอารมณ์ค้าง แล้วปล่อยหนังฮีโร่ภาคแยกคั่น 2 เรื่อง
บัดนี้ปี 2019, ช่วงเวลาเผด็จศึก (Endgame) จึงมาถึง, กลุ่มอเวนเจอร์สผู้เหลือรอดจะไม่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมเฉยๆ
แต่พวกเขาจะกลับมาชนะศึกนี้ได้อย่างไร ?
เป็นสิ่งที่คนดูต้องพยายามหลบสปอยล์กันให้ดี และไปลุ้นกันที่ในโรงภาพยนตร์
ก่อนรับชม Endgame, การย้อนมองสงครามอินฟินิตี้สักหน่อยย่อมเพิ่มอรรถรสในการรับชมได้ไม่มากก็น้อย
ฉะนั้นจึงขอรวบรวมเรื่องน่ารู้ต่างๆ ของสงครามอินฟินิตี้ ที่ทั้งมีตัวละครเยอะแยะ และเกิดเหตุการณ์มากมาย
ซึ่งหลายอย่างมิได้ถูกบอกเล่าไว้ในภาพยนตร์ (หรือบอกไว้แบบไม่ชัดเจนนัก)
จนบรรดาผู้เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ (หลักๆ ก็พี่น้องผู้กำกับร่วมของ Infinity War กับ Endgame) ต้องชี้แจงแถลงไขตามหลังหนังฉาย
เอากลับมานำเสนอใหม่ เพื่อให้ผู้สนใจเครื่องร้อนต้อนรับ Endgame ครับ
[1] สตีเฟน แม็คฟีลีย์ (คนเขียนบท) +โจ รุสโซ (ผู้กำกับ) เผยสาเหตุที่ธานอสเพิ่งจะเริ่มลงมือไล่เก็บมณีด้วยตนเองจริงจัง ในหนังเรื่องอินฟินิตี้วอร์
แม็คฟีลีย์: "เหตุการณ์ซึ่งจุดชนวนให้เกิดเรื่องทั้งหมดในหนังขึ้น คือตอนที่ธานอส...จับตัวเนบูลาได้บนยานของเขา และสำรวจสมองของเธอ จนพบว่ากามอร่ารู้ที่อยู่ของมณีวิญญาณ"
โจ รุสโซ: "มันคือเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ได้..."
แม็คฟีลีย์: "ทำไมเขาไม่ได้ออกตามหามันเองก่อนหน้านี้"
โจ รุสโซ: "...เพราะเมื่อเขาลงมือ, กองกำลังต่างๆ ทั่วจักรวาลจะรวมตัวกันต่อต้านเขา ถ้าเขาไม่รู้ว่ามณีวิญญาณอยู่ไหน, แล้วจะลงมือทำไม ?"
หรือก็คือ ธานอสเพิ่งตัดสินใจลงมือเอง เพราะมั่นใจแล้วว่าจะรวบรวมมณีได้ครบแน่
[2] เมื่อถูกถามว่าการดีดนิ้วครั้งเดียวเสียวทั้งจักรวาลของธานอสนั้น ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากมนุษย์ เช่น ม้า หรือว่า มด หายไปครึ่งจักรวาลด้วยหรือไม่? คำตอบคือ
"ใช่ ! ใช่ ทุกชีวิต" เควิน ไฟกีตอบ
แปลว่าหมา, แมว, เก้ง, กวาง หรือต้นไม้ใบหญ้า (สิ่งมีชีวิตเหมือนกัน) ไม่ว่าอะไรก็โดนลบทิ้งให้เหลือครึ่งเดียวจนหมด
[3] สืบเนื่องจากข้อ 2 การกระทำของธานอสเลยดูรุนแรง แถมเผลอๆ แก้ปัญหาอารยธรรมต่างๆ ในห้วงอวกาศล่มสลาย เพราะประชากรเกินขนาดไม่ได้จริงๆ
การที่ธานอสเลือกวิธีลบชีวิตครึ่งจักรวาล แทนการใช้วิธีสันติ เช่น เพิ่มปริมาณทรัพยากร
ก็เพื่อพิสูจน์ว่าแนวคิดของตัวเองคือสิ่งถูกต้อง
"ผู้คนถามเราว่าทำไมธานอสไม่ใช้มณีเพิ่มทรัพยากรในจักรวาลเป็น 2 เท่า แถมเห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่ยอมทำ...คือ เขาเคยถูกปฏิเสธแนวคิดเก่าของตน ที่เขารู้สึกว่าเป็นวิธีเดียวในการแก้ปัญหา และต่อมาก็มีข้อพิสูจน์เกิดตามมาหลังจากแนวคิดเขาไม่ถูกนำไปใช้ มันคือปมการเป็นพระผู้มาโปรดของเขา--เขามุ่งมั่นแต่จะทำตามแนวคิดของตน เมื่อหลายต่อหลายปีก่อน" โจ รุสโซ กล่าว
นั่นคือต่อให้ใช้ถุงมืออินฟินิตี้กับมณีทั้งหกช่วยจักรวาลด้วยวิธีอื่นได้ ธานอสก็ไม่คิดจะทำเช่นนั้น
[4] คนเขียนบท+ผู้กำกับอินฟินิตี้วอร์อธิบายว่า ทำไมวายร้ายระดับจักรวาลอย่างธานอสถึงรู้จักชื่อโทนี่ สตาร์ค ตั้งแต่ก่อนพบหน้าตัวเป็นๆ
"ธานอสกับโทนี่เป็นเหมือนเส้นขนานที่น่าสนใจ ทั้งคู่ตระหนักถึงบางสิ่งตั้งแต่ช่วงแรกๆ และพยายามพัฒนาตัวเองเพื่อรับมือตลอด ธานอสเองก็เป็นคนหัวก้าวหน้าเหมือนๆ กับโทนี่ สตาร์ค" มาร์คัส-คนเขียนบทบอก
"เขาตระหนักถึงสตาร์คครั้งแรกในศึกถล่มนิวยอร์ค, ว่าเป็นคนที่ขัดขวางแผนครั้งนั้นไว้ มันน่าสนใจเพราะว่าพอธานอสเริ่มหันมาออกหน้าลงมือด้วยตัวเอง
เขาทำตัวแบบพวกนักรบศักดิ์สิทธิ์ ไม่ยอมเสียพลังงานไปกับการฆ่าฟันอันเปล่าประโยชน์ หากอีกฝ่ายไม่เป็นภัยต่ออุดมการณ์ของเขา เกือบทุกคนไม่ใช่ภัยคุกคามอุดมการณ์, ยกเว้นโทนี่ ที่เขารู้สึกได้ว่ามีส่วนคล้ายกับตนเอง" โจ รุสโซ เล่า
--สรุป--ธานอสรู้จักโทนี่เพราะเขาคือคนที่ขวางแผนบุกโลกครั้งแรกไว้ และเช่นเดียวกับที่โทนี่ระวังภัยจากธานอสมาตลอด, ธานอสเองก็ระแวงว่าโทนี่ซึ่งเป็นพวกหัวก้าวหน้า+พัฒนาตัวเองเสมอเหมือนตนจะเป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่เช่นกัน
[5] หนังในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลมิได้เรียงลำดับเหตุการณ์ ตามลำดับการฉายตลอด
แถมถุงมืออินฟินิตี้ (ของปลอม) ยังโผล่มาตั้งแต่สมัย Thor ภาค 1 ทำให้เกิดความสับสนตามมาอยู่บ้าง
คู่หูผู้เขียนบทหนังอินฟินิตี้วอร์ 'คริสโตเฟอร์ มาร์คัส และสตีเฟ่น แม็คฟีลีย์' จึงต้องตอบคำถามว่าถุงมืออินฟินิตี้ของธานอสนั้นไซร้ ถูกสร้างขึ้นเมื่อไหร่ ?
"ผมคิดว่าถุงมือถูกสร้างตอนโลกิปลอมตัวเป็นโอดิน" มาร์คัสตอบ "เดาว่าเอทรี่ยังดำเนินกิจการตามปกติอยู่ ณ ตอนนั้น แล้วจะมีคนไปเยือนที่นั่นและบอกอะไรบางอย่าง ดังนั้นมันไม่ได้นานอะไรนักหรอก"
มาร์คัสคงกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ธานอสขู่ให้ราชาคนแคระ-เอทรี่สร้างถุงมือแลกกับการไว้ชีวิตเหล่าคนแคระ ก่อนธานอสผิดสัญญาภายหลัง ว่ามันเกิดขึ้นช่วงระหว่างโลกิครองบัลลังก์แอสการ์ดหลังเหตุการณ์ในหนัง Thor ภาค 2
[6] ในทวิตเตอร์ทางการของหนังอินฟินิตี้วอร์, พี่น้องรุสโซได้ตอบคำถามเกี่ยวกับกะโหลกแดง (Red Skull) ว่าหลังจากมณีวิญญาณถูกนำออกไปจากดินแดนวอร์เมียร์ (Vormir) แล้ว
กะโหลกแดงจะเป็นอิสระจากคำสาปที่ต้องคอยเฝ้ามณี+นำทางคนที่อยากได้มัน แล้วออกจากสถานที่แห่งนั้นได้จริงใช่ไหม ?
คำตอบคือ "กะโหลกแดงเป็นอิสระ จะจากวอร์เมียร์ไปก็ได้ หรือถ้าอยากทำตามความต้องการเดิมอย่างการหามณีมาครองก็ทำได้เช่นกัน"
[7] มณีอินฟินิตี้ทั้ง 6 ส่วนใหญ่ เพียงเห็นตอนสำแดงพลังก็เข้าใจคุณสมบัติของมันทันที เช่น มณีเวลาที่ย้อนเวลาได้ หรือมณีพลังที่ใช้ทำลายล้าง แต่มณีวิญญาณยังค่อนข้างเป็นปริศนาอยู่
พี่น้องรุสโซ/ผู้กำกับอินฟินิตี้วอร์ จึงอธิบายลักษณะการทำงานของมณีวิญญาณให้ว่า
"แน่ละว่ามณีวิญญาณมีพลังที่จะจัดการ 'วิญญาณ' สิ่งที่เป็นแกนหลักกำหนดตัวตนของคุณได้ เหตุการณ์สำคัญอันสมควรหยิบยกเป็นตัวอย่างคือตอนดร.สเตรนจ์แยกร่าง ธานอสรับมือโดยใช้มณีวิญญาณลบสเตรนจ์ตัวปลอมทิ้งทั้งหมด แถมผลักวิญญาณสเตรนจ์หลุดออกจากร่าง เขาเลยต้องรีบดึงวิญญาณกลับ...
ธานอสเข้าไปใน 'โลกของมณีวิญญาณ' เพื่อคุยกับลูกสาวที่ตายไป(กามอรา)ได้ และความจริงเขาสามารถ 'คืนชีพ' รวมถึง 'เรียก' วิญญาณของเหล่าผู้คนที่ตายแล้วให้มาปรากฏตัวได้ด้วย"
ตอนแรกจำได้ว่าธานอสใช้มณีพลังสลายร่างแยกสเตรนจ์เลยลองไปเช็คดู
ปรากฏว่า ธานอสใช้มันร่วมกับพลังของมณีวิญญาณ (ใช้ 2 เม็ดพร้อมกัน) สเตรนจ์เลยไม่โดนแค่ลบร่างแยก แต่โดนเขย่าวิญญาณเกือบหลุดออกนอกร่างเพิ่มอีกดอก
[8] ผู้ดูแลงานสร้างเทคนิคพิเศษของภาพยนตร์ให้สัมภาษณ์ว่า ฉากการสลายหายไปของเหล่าตัวละครในตอนจบอินฟินิตี้วอร์ มีแนวคิดที่ให้การสลายคนเกิดจากการใช้มณีพลัง (Power Stone) เป็นหลัก เนื่องจาก
"มันมีเหตุผลอยู่ แบบว่าถ้ามณีทั้ง 6 มารวมกันครบแล้ว มณีเม็ดไหนควรจะ...การใช้มณีร่วมกันควรทำให้เกิดผลลัพธ์แบบไหน? มณีวิญญาณจะสลายวิญญาณพวกเขาหรือ ? มณีพลังสลายร่างใช่ไหม ? แล้วมณีประตูมิติ (Space Stone) จะดูดฝุ่นผงไปหลังร่างสลายเหรอ ? ช่วงแรกๆ ที่เราลองผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันมันสวยงามไม่เบา แต่ก็ยุ่งยากน่าดูเลยละ ประมาณว่า...ถ้าใส่เอฟเฟ็กต์มณีวิญญาณต้องมามัวทำให้พวกเขาไฟลุกพรึ่บขึ้นก่อนสลายร่างอีก เราเลยกลับไปใช้แนวคิดแบบง่ายๆ (สลายร่างเฉยๆ) แทน"
[9] ดูเหมือนฉากการลบบรรดาตัวละครของจักรวาลหนังมาร์เวลจะมุ่งเน้นทีี่การสร้างความเจ็บปวดต่อเหล่าตัวละครผู้รอดชีวิต และคนดูเป็นหลัก
เพราะแอนโธนี่ รุสโซ-ผู้กำกับอินฟินิตี้วอร์ อธิบายเกี่ยวกับฉากลบตัวละครหมู่ในหนังว่า
"ในแง่ทางเลือกของเราเรื่องใครจะโดนธานอสดีดนิ้วลบไปนั้น มันขึ้นอยู่กับเนื้อเรื่องเป็นหลัก เราควรตอบแทนเรื่องราวที่ผ่านมาของตัวละครแต่ละตัวแบบไหนถึงจะซาบซึ้งมากที่สุด ?
คนแรกที่ต้องไปคือบัคกี้ บาร์นส์ และฉากนั้นต้องถ่ายจากมุมมองของกัปตันอเมริกา คุณก็รู้ว่าเราเคยดูกัปตันฯ ผ่านประสบการณ์ที่ต้องมองเห็นบัคกี้เพื่อนรักจากไปมาก่อน
เรารู้ว่าโอโคเย มีเป้าหมายอันดับหนึ่งของชีวิตเป็นการปกป้องราชา เธอเลยต้องมองดูราชาสลายหายไปต่อหน้าต่อตา
การเห็นเหล่าตัวละครตอบสนองสถานการณ์เหล่านั้น ช่างมีความหนักแน่นและทรงพลังยิ่งนัก"
[10] ตอนจบอินฟินิตี้วอร์ ธานอสทำตามปณิธานสำเร็จ ลบคนทิ้งครึ่งจักรวาล มีตัวละครโดนลบทิ้งสลายกลายเป็นฝุ่นผงแบบไม่ทันตั้งตัวมากมาย บางคนดูจะไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ
แต่ดูเหมือนสไปเดอร์แมนจะพอรู้ตัว และสลายหายไปช้ากว่าใครเพื่อน
'แมตต์ ไอเค่น'(Matt Aiken) หัวหน้าทีมสร้างเทคนิคพิเศษของ Weta ซึ่งช่วยมาร์เวลสร้างฉากนี้อธิบายว่า "สไปดี้ขัดขืนมันจริงๆ เขาไม่อยากหายไปสุดๆ และดิ้นรนต่อสู้.... เขาทรงพลังเหลือเชื่อยามเผชิญหน้าความตาย เลยต่อต้านมันได้นานกว่าใครเพื่อน ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ต้านมันไว้ไม่ไหว"
แต่แมตต์ไม่ใช่คนของมาร์เวล จึงมีการสอบถามผู้กำกับ 'โจ รุสโซ' เพื่อยืนยันทฤษฎีนี้ และโจก็ยืนยันว่า "ถูกต้องแล้ว เขา (สไปเดอร์แมน) รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง"
[11] ด้วยความที่กรูทมีคำพูดสำหรับใช้สื่อสารเพียงชุดเดียว "ข้าคือกรู๊ท" (I am Groot) คนดูจึงไม่อาจทราบได้จากการดูหนัง ว่าตอนกรู๊ทถูกลบทิ้งพร้อมสิ่งมีชีวิตอื่นครึ่งจักรวาล เขาบอกอะไรกับร็อคเก็ตก่อนตาย
มีคนสอบถามเรื่องนี้กับเจมส์ กันน์-ผู้กำกับหนังการ์เดี้ยน
ทางทวิตเตอร์ เขาเฉลยให้ทราบว่ามันเป็นเพียงคำพูดสั้นๆ คำเดียวคือ "Dad = พ่อ"
หลังกรู๊ทคนแรกตาย สมาชิกทีมการ์เดี้ยนช่วยกันเลี้ยงดูกรู๊ทคนใหม่จนเติบโตเป็นวัยรุ่น ทำให้ทุกคนเป็นผู้ปกครองกรู๊ทร่วมกันโดยปริยาย แต่ตามปกติก็คงมีสักคนที่เด็กเห็นเขาเป็นตัวแทนพ่อแม่อย่างแท้จริง ซึ่งสำหรับกรู๊ทแล้ว คงไม่พ้นร็อคเก็ตที่เขาเรียกว่าพ่อก่อนตายนั่นเอง
[12] ใน Guardians of the Galaxy แดร็กซ์เคยบอกว่า "โรแนนฆ่าเมียฉัน-โฮวัต กับลูกสาว-คามาเรีย เขาสังหารพวกเธอตรงที่ยืนอยู่ แล้วก็หัวเราะ!" แต่เมื่อโรแนนตายไปใช่ว่าความแค้นเขาจะหายตาม เพราะผู้กำกับ 'โจ รุสโซ' อธิบายฉากแดร็กซ์และเพื่อนร่วมทีมการ์เดี้ยนเยือน Knowhere (ที่ิิอยู่ของนักสะสม/The Collector) เพื่อขวางการรวบรวมมณีของธานอสว่า
"นี่สะท้อนความหลังครั้งเก่าของแดร็กซ์กับธานอส...ดาวของเขาเคยถูกกระทำแบบเดียวกันกับดาวของกามอร่า แดร็กซ์โดนจับให้ยืนอยู่ฝั่งหนึ่ง ส่วนครอบครัวของเขาก็โดนจับไปไว้ที่อีกฝั่ง"
แปลว่าความจริงนั้น ต้นเหตุการตายของครอบครัวแดร็กซ์คือธานอส โรแนนเป็นแค่คนทำตามคำสั่ง
[13] ความหัวร้อนของสตาร์ลอร์ดตอนปะทะธานอสทำให้แผนถอดถุงมืออินฟินิตี้ล้มเหลว แฟนหนังหลายคนพากันหัวเสียกับเรื่องนี้ และอาจมีคนคิดว่ามันขัดกับฉากที่เขาตัดใจยิงปืนสังหารกามอร่า (ก่อนธานอสใช้มณีเปลี่ยนกระสุนเป็นฟองสบู่) ซึ่งแปลว่าสตาร์ลอร์ดเห็นความสำคัญของการทำสิ่งที่ควรกระทำมากกว่ากระทำสิ่งใดไปตามอารมณ์ส่วนตัว
แต่เรื่องนี้ 'แม็คฟีลีย์' คนเขียนบทร่วมของอินฟินิตี้วอร์ได้ปรึกษากับ 'เจมส์ กันน์' ก่อนแล้ว "นี่เป็นเรื่องเดียวที่เจมส์ กันน์ผลักดันให้เราเปลี่ยนบท เราถกกันเกี่ยวกับการตัดสินใจของสตาร์ลอร์ดที่จะยิงกามอร่าหลายรอบ เราพยายามบอกว่า 'จะดีกว่าไหมถ้าสตาร์ลอร์ดไม่เติมเต็มคำสัญญาและฆ่าผู้หญิงทีี่เขารัก ?'
มันไม่ใช่วิถีฮีโร่ตามธรรมเนียม เราพยายามปูทางสู่จุดที่ความผิดพลาด (ตอนถอดถุงมือ) เกิดขึ้น เพราะความรักของเขาต่อเธอสำคัญกว่าหน้าที่ในทางใดทางหนึ่ง
แล้วกันน์กับแพรตต์ (สตาร์ลอร์ด) ก็ยืนกรานสิ่งที่สตาร์ลอร์ดควรทำ เราเลยเขียนบทแบบนั้นและแน่นอน, มันไม่ส่งผลเสียต่อการเล่าเรื่อง เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นมันก็คงไม่เวิร์คหรอก"
[14] เคยเห็นการถกเถียงกันว่าภารกิจชิงถุงมืออินฟินิตี้จากธานอสล่มเพราะสตาร์ลอร์ดจริงหรือไม่อยู่ ฝ่ายแก้ต่างให้ได้บอกว่าสุดท้ายก็ดึงถุงมือไม่หลุดอยู่ดี หรือถึงโดนดึงหลุดเขาก็ชิงคืนได้แน่ แต่พี่น้องรุสโซ/ผู้กำกับหนังยืนยัน 'มันเป็นความผิดของสตาร์ลอร์ด' เต็มๆ
"นั่นคือจุดเปลี่ยนของฉากดังกล่าว ตัวละครเหล่านี้เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง นั่นทำให้พวกเขาเลือกทำตามอารมณ์, ตามความเป็นมนุษย์ของตน ถ้าควิลล์(สตาร์ลอร์ด)ไม่ทำแบบนั้น หนังจะจบลงทันใด" โจ รุสโซบอก
[15] 'โจและแอนโธนี่ รุสโซ' สองพี่น้องผู้กำกับอินฟินิตี้วอร์กล่าวปกป้องตัวละครสตาร์ลอร์ด หลังมีกระแสเกลียดชังของแฟนหนังต่อตัวละครเพราะดัันทำงามหน้าตอนสู้กับธานอส
"แม่เขาตายเพราะมะเร็งและโดนโจรสลัดอวกาศลักพาตัวตอนอายุ 10 ขวบ แล้วถูกเลี้ยงดูโดยโจรสลัดมาตลอด
เขาสังหารพ่อตัวเองล้างแค้นให้แม่ แถมแฟนสาวที่เขารักใคร่ยังมาถูกฆาตกรรมโดยคนที่เป็นพ่อจอมโฉด... เขาจึงกระทำสิ่งที่เป็นไปตามอารมณ์อย่างมาก" โจกล่าว
"ธอร์เองก็ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ ธอร์สามารถใช้ขวานของเขาฆ่าธานอสได้ไวกว่านั้น ซึ่งเขาปรากฏตัว, และไม่สังหารในทันใด--เพราะความโกรธแค้น, และเพราะแรงผลักดันของมัน--เพื่อบอกธานอสว่าแกกำลังจะตาย...แล้วเผด็จศึกแบบช้าๆ ธอร์ถูกอารมณ์พาไปให้หลงทางในแบบเดียวกับสตาร์ลอร์ด และมีส่วนร่วมต่อการรับผิดชอบเรื่องธานอสเช่นกัน" แอนโธนี่กล่าว
[16] ในอินฟินิตี้วอร์ ธอร์เสียเวลาสร้างอาวุธใหม่ 'สตอร์มเบรคเกอร์' นานพอดู แต่ขวานค้อนอันใหม่ก็แสดงศักยภาพร้ายกาจให้เป็นที่ประจักษ์ช่วงท้ายเรื่อง และถ้าใครอยากรู้ชัดๆ เลยว่าระหว่างสตอร์มเบรคเกอร์กับถุงมืออินฟินิตี้ของธานอสอะไรทรงพลังกว่า ขอบอกให้ชัดเลย "สตอร์มเบรคเกอร์ทรงพลังกว่า" ครับ
คนเขียนบทร่วมของหนัง-มาร์คัสและแม็คฟีลี่ย์ ให้รายละเอียดเอาไว้ดังนี้ "ผมจินตนาการว่ามันเป็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่คนสร้างอาวุธทั้งสองชิ้นคือคนเดียวกัน" มาร์คัสกล่าวถึง 'Eitri-เอทรี่' ราชาคนแคระ "มันเป็นเวทมนตร์ของคนแคระ"
และ "เอทรี่สร้างสิ่งที่เขาชอบให้แก่คนที่เขาชอบ" แม็คฟีลี่ย์เสริม
--สรุป-- ความแข็งแกร่งของอาวุธที่สร้างโดยคนแคระไม่เกี่ยวกับโลหะหรือวัสดุใดๆ แต่ขึ้นอยู่กับเวทมนตร์ซึ่งคนแคระใส่ตอนสร้างอาวุธ และเอทรี่สร้างถุงมืออินฟินิตี้ให้มีจุดอ่อนไว้ (เหมือนเดธสตาร์ในสตาร์วอร์ส) ทำให้ถุงมือแพ้ทางสตอร์มเบรคเกอร์
[17] โจ รุสโซเผยว่าตอนพัฒนาบทของอินฟินิตี้วอร์ มีการเปลี่ยนสถานที่อันเป็นแหล่งที่มาของอาวุธใหม่หลายครั้ง และมีบทหนังฉบับที่ธอร์ได้เดินทางไปพบวิญญาณบรรพบุรุษด้วย แต่สุดท้ายก็กลายเป็นอย่างในหนัง
ส่วนเหตุผลที่อินฟินิตี้วอร์ เสียเวลาบอกเล่าภารกิจสร้างอาวุธใหม่ บวกด้วยการเน้นดราม่าชีวิตของธอร์มากกว่าฮีโร่คนอื่นก็เพราะ
"เราอยากสร้างความรู้สึกว่าธอร์จะเป็นคนกู้วิกฤติในหนัง ภารกิจสร้างอาวุธใหม่เพื่อสังหารธานอสของธอร์ จึงเป็นส่วนสำคัญของเรื่องราวและใช้เวลาบอกเล่าค่อนข้างมาก เราเน้นดราม่าชีวิตเขาหนักๆ เพื่อให้ผู้คนมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องนี้--เพื่อให้ผู้ชมเปี่ยมล้นด้วยความรู้สึก เมื่อไปถึงจุดสุดยอด (climax) ของหนัง"
[18] มีคนตั้งข้อสังเกตว่าตอนขวานค้อนผ่าวายุ 'Stormbreaker-สตอร์มเบรคเกอร์' ตีเสร็จใหม่ๆ กรูทได้ยกมันขึ้นจากพื้นก่อนยอมตัดแขนของตนข้างหนึ่งให้กลายเป็นด้ามจับของอาวุธ แสดงว่ากรูทนั้นคือผู้ 'คู่ควร' เหมือนธอร์กับวิชั่นใช่หรือไม่ ?
"โยเนียร์ต้องการผู้คู่ควร, สตอร์มเบรคเกอร์ไม่ต้อง" คือคำตอบของพี่น้องรุสโซ จากทวิตเตอร์ทางการของหนังอินฟินิตี้วอร์
[19] ฉากแถมท้ายหนัง Black Panther แสดงภาพบัคกี้เพื่อนซี้กัปตันอเมริกาตื่นจากจำศีล ก่อนคนดูหนังจะเห็นหน้าค่าตาเขาอีกทีในอินฟินิตี้วอร์
บางคนอาจสะกิดใจว่ากัปตันฯ เห็นเพื่อนตื่นขึ้นมาแล้วทำไมไม่ค่อยทำท่าแปลกใจหรือดีใจอะไรเป็นพิเศษ
สาเหตุเพราะทั้งคู่มีโอกาสพบกันนอกจอในช่วงระหว่างหนังแบล็คแพนเธอร์กับอินฟินิตี้วอร์แล้วนั่นเอง
โจ รุสโซผู้กำกับร่วมของอินฟินิตี้วอร์เผย "ผมคิดว่าสตีฟ, ผู้หลบหนีมาตลอดตั้งแต่ Civil War มีการติดต่อกับชูริและทีชาลลาอย่างสม่ำเสมอ เขากำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่ละ แต่ผมคิดว่าเขาหาทางกลับไปวาคานด้าได้ราวสองสามครั้ง...และนั่นส่งผลให้เรา (โจ+แอนโธนี่) กำกับฉากดังกล่าวแบบนั้น, นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาพบกันตั้งแต่บัคกี้ตื่น"
[20] ฮัลค์พ่ายแพ้แก่ธานอสตั้งแต่ต้นเรื่องของอินฟินิตี้วอร์ จากนั้นก็เก็บตัวยาวตลอดเรื่อง 'บรูซ แบนเนอร์' จึงจำต้องใช้เกราะไอร์ออนแมนไซส์เบิ้มต่อสู้ช่วยเหลือผองเพื่อน ทำให้คนดูพากันคิดว่าฮัลค์หวาดกลัวธานอสจนไม่ยอมสู้ แต่ความจริงการเก็บเนื้อเก็บตัวของฮัลค์เป็นเพราะสาเหตุอื่นต่างหาก
'โจ รุสโซ'-ผู้กำกับร่วมอินฟินิตี้วอร์ต้องการสร้างสถานการณ์ บีบบังคับให้ 'บรูซ แบนเนอร์' ทำตัวเป็นฮีโร่บ้าง ไม่ใช่พึ่งพาพละกำลังฮัลค์เอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันเสมอ
ส่วนฮัลค์ผู้ชื่นชอบการต่อสู้อย่างสนุกสนานนั้น ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ใน Thor: Ragnarok กับการลิ้มรสความพ่ายแพ้ และฮัลค์กับแบนเนอร์แย่งกันครอบครองร่างมาตลอด ฮัลค์จึงเริ่มตั้งคำถามว่าทำไมมันต้องช่วยแบนเนอร์ด้วย ? ในเมื่อแบนเนอร์ต้องการตัวมันเฉพาะเวลาต่อสู้
--สรุป+ตีความ-- ฮัลค์เคยครองร่างแบนเนอร์นานกว่า 2 ปีจนเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองชัดเจน และเมื่อการต่อสู้ไม่สนุกอีกต่อไป
ฮัลค์เลยไม่อยากช่วยแบนเนอร์ ที่มองเห็นมันเป็นแค่ตัวช่วยยามคับขันอีกแล้ว (งอนแบนเนอร์นี่เอง)
[21] 'ซามูเอล แอล. แจ๊คสัน' ชี้แจงให้ทราบชัดๆ ว่าทำไมก่อนธานอสลบชีวิิตครึ่งจักรวาล ตัวละครของเขาอย่าง 'นิค ฟิวรี่' ดันไม่เคยเรียกตัวกัปตันมาร์เวลมาโลกเลย แม้เคยเกิดภัยพิบัติใหญ่ก่อนหน้าหลายวาระ
"หล่อนบอกว่าเฉพาะยามฉุกเฉินจริงๆ ซึ่งในเหตุการณ์ฉุกเฉินอื่นอย่างเช่นเอเลี่ยนบุกโลกนั่น คนอื่นๆ นั้นก็สามารถรับมือมันได้ ไม่ใช่ระดับเดียวกับเหตุวุ่นวายที่คนหายไปครึ่งจักรวาล
เราเพิ่งเจอเหตุฉุกเฉินครั้งประวัติการณ์ ที่ฟิวรี่รู้สึกต้องการตัวเธอมาช่วยด่วน ถ้าให้ระบุชัดๆ คือฟิวรี่ไม่รู้จะสู้ยังไงถ้าตัวเองไม่อยู่ด้วย เขาจำเป็นต้องเรียกใครสักคนที่รับมือไหวมา เวลาดังกล่าวฮีโร่คนอื่นๆ ไม่สามารถติดต่อได้ และพวกเขาสุดยอดตอนรับมือวิกฤติระดับโลกแบบทั่วไป แต่กับการรับมือนักเลงอวกาศที่ครอบครองมณีอินฟินิตี้ครบทุกเม็ดนั่น เราต้องการอะไรที่มากกว่านั้น"
COMMENTS