คำเตือน: สปอยทั้งหนังและนิยาย ความจริงคิดว่าหนังภาคสุดท้ายของเมซ รันเนอร์จะดึงองค์ประกอบและเนื้อเรื่องต่างๆ ในนิยายกลับมาเข้ารูปเข้ารอย ให...
คำเตือน: สปอยทั้งหนังและนิยาย
ความจริงคิดว่าหนังภาคสุดท้ายของเมซ รันเนอร์จะดึงองค์ประกอบและเนื้อเรื่องต่างๆ ในนิยายกลับมาเข้ารูปเข้ารอย ให้เหมือนต้นฉบับนิยาย แบบดันทุรังมากกว่านี้ เพราะเนื้อเรื่องหนังกับนิยายภาคสองแตกต่างกันเยอะเอาเรื่อง
แต่เปล่าเลย ส่วนตัวมองว่า The Death Cure กลับมาดัดแปลงเนื้อหาภาพยนตร์จากนิยายต้นฉบับได้ดี เกือบเทียบเท่าภาคแรก ซึ่งเคยสร้างกระแสความนิยมอันน่าชื่นชมให้ทั้งแฟรนไชส์หนัง+นิยายชุดนี้มาก่อนทีเดียว (ภาคสองทำเสียเครดิตพอควร)
หากคะเนไม่ผิด หนังน่าจะใช้เวลาช่วงแรกเพียงไม่ถึง 1 ใน 3 ของความยาวหนัง เพื่อเล่าเรื่องให้ต่อเนื่องจากฉบับภาพยนตร์ภาคสอง+ปรับเนื้อหาเข้าสู่เรื่องราวที่เต็มไปด้วยองค์ประกอบคล้ายคลึงนิยายภาคสาม เช่น การเข้าสู่เมืองปลอดเชื้อแห่งสุดท้าย, พบกัลลี่(ผู้ยังไม่ตาย)อยู่กับกลุ่มต่อต้านวิคเค็ด, วางแผนบุกทำลายศูนย์บัญชาการวิคเค็ด, ช่วยกลุ่มผู้มีภูมิคุ้มกันออกมา และพาพวกเค้าสู่ดินแดนปลอดเชื้ออันห่างไกล เพื่อก่อตั้งอารยธรรมมนุษย์แห่งใหม่ โดยไม่อาจหยุดยั้งการล่มสลายของโลกภายนอกจากวิกฤติไวรัสไข้วาบได้.....
[ต่างกันจริงๆ แค่ท้ายเรื่องตรง 'เซอร์ไพรส์' ชวนรำลึกถึงภาคแรก ที่ผมเคยบอกไว้ในบทความอภิปรายความแตกต่างนิยาย-หนัง คือ วิคเค็ดจับพวกผู้มีภูมิขัง "วงกต" ภาคแรก(ตามนิยายวงกตอยู่ใต้ศูนย์บัญชาการวิคเค็ด) พวกโทมัสเลยต้องกลับสู่วงกตอีกคำรบหนึ่ง]
Death Cure หันมาเน้นการเผชิญหน้าและต่อสู้กับวิคเค็ดแบบจริงจัง ไม่เหมือนสองภาคแรกซึ่งเน้นวิ่งหนีเอาชีวิตรอด แม้ให้อารมณ์แตกต่างจากสองภาคแรกดี ทว่าไม่ต่างกับหนังแนวบู๊ทั่วไปเรื่องอื่นมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะต้นฉบับนิยายก็มาแนวนี้เช่นกัน
ถึงกระนั้นส่วนที่น่าชื่นชมยังมีอยู่ คือการเสริมส่วนดราม่า ให้บรรดานักแสดงสร้างอารมณ์ร่วมต่างๆ มากกว่าสมัยภาคสองชนิดเห็นชัดเจน
คนชอบแนวผจญภัย, เนื้อเรื่องกระชับฉับไว ไม่เคยดูภาค 1-2 (หรือดูนานเกิน ลืมหมดแล้ว) อาจไม่สบอารมณ์ มองว่ามันยืดยาด เพิ่มเวลาฉายหนังเปล่าๆ แถมตัวละครตัดสินใจโง่ๆ ยึดพวกพ้องตัวเองมากกว่าส่วนรวมอีก
แต่ถ้าเคยดูภาคก่อนหน้ามา, เข้าใจสถานการณ์ตามท้องเรื่อง, จำเรื่องราว+หน้าตาตัวละครสำคัญได้หมด คุณคงไม่แปลกใจ กับการตัดสินใจโง่ๆ บางครั้งของบางตัวละคร เพราะเข้าใจความคิด, ความรู้สึก และแรงจูงใจในการตัดสินใจทำอะไรเหล่านั้น
สรุปว่า Death Cure อาจไม่ใช่หนังยอดเยี่ยมหรือมีความสดใหม่ น่าค้นหาอะไร แต่ก็เป็นภาพยนตร์ปิดท้ายเรื่องราว สำหรับคนเคยรับชมสองภาคแรกอย่างแท้จริง ปิดฉากเรื่องราวไตรภาคอย่างเหมาะสมและสวยงามครับ
ความจริงคิดว่าหนังภาคสุดท้ายของเมซ รันเนอร์จะดึงองค์ประกอบและเนื้อเรื่องต่างๆ ในนิยายกลับมาเข้ารูปเข้ารอย ให้เหมือนต้นฉบับนิยาย แบบดันทุรังมากกว่านี้ เพราะเนื้อเรื่องหนังกับนิยายภาคสองแตกต่างกันเยอะเอาเรื่อง
แต่เปล่าเลย ส่วนตัวมองว่า The Death Cure กลับมาดัดแปลงเนื้อหาภาพยนตร์จากนิยายต้นฉบับได้ดี เกือบเทียบเท่าภาคแรก ซึ่งเคยสร้างกระแสความนิยมอันน่าชื่นชมให้ทั้งแฟรนไชส์หนัง+นิยายชุดนี้มาก่อนทีเดียว (ภาคสองทำเสียเครดิตพอควร)
หากคะเนไม่ผิด หนังน่าจะใช้เวลาช่วงแรกเพียงไม่ถึง 1 ใน 3 ของความยาวหนัง เพื่อเล่าเรื่องให้ต่อเนื่องจากฉบับภาพยนตร์ภาคสอง+ปรับเนื้อหาเข้าสู่เรื่องราวที่เต็มไปด้วยองค์ประกอบคล้ายคลึงนิยายภาคสาม เช่น การเข้าสู่เมืองปลอดเชื้อแห่งสุดท้าย, พบกัลลี่(ผู้ยังไม่ตาย)อยู่กับกลุ่มต่อต้านวิคเค็ด, วางแผนบุกทำลายศูนย์บัญชาการวิคเค็ด, ช่วยกลุ่มผู้มีภูมิคุ้มกันออกมา และพาพวกเค้าสู่ดินแดนปลอดเชื้ออันห่างไกล เพื่อก่อตั้งอารยธรรมมนุษย์แห่งใหม่ โดยไม่อาจหยุดยั้งการล่มสลายของโลกภายนอกจากวิกฤติไวรัสไข้วาบได้.....
[ต่างกันจริงๆ แค่ท้ายเรื่องตรง 'เซอร์ไพรส์' ชวนรำลึกถึงภาคแรก ที่ผมเคยบอกไว้ในบทความอภิปรายความแตกต่างนิยาย-หนัง คือ วิคเค็ดจับพวกผู้มีภูมิขัง "วงกต" ภาคแรก(ตามนิยายวงกตอยู่ใต้ศูนย์บัญชาการวิคเค็ด) พวกโทมัสเลยต้องกลับสู่วงกตอีกคำรบหนึ่ง]
Death Cure หันมาเน้นการเผชิญหน้าและต่อสู้กับวิคเค็ดแบบจริงจัง ไม่เหมือนสองภาคแรกซึ่งเน้นวิ่งหนีเอาชีวิตรอด แม้ให้อารมณ์แตกต่างจากสองภาคแรกดี ทว่าไม่ต่างกับหนังแนวบู๊ทั่วไปเรื่องอื่นมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะต้นฉบับนิยายก็มาแนวนี้เช่นกัน
ถึงกระนั้นส่วนที่น่าชื่นชมยังมีอยู่ คือการเสริมส่วนดราม่า ให้บรรดานักแสดงสร้างอารมณ์ร่วมต่างๆ มากกว่าสมัยภาคสองชนิดเห็นชัดเจน
คนชอบแนวผจญภัย, เนื้อเรื่องกระชับฉับไว ไม่เคยดูภาค 1-2 (หรือดูนานเกิน ลืมหมดแล้ว) อาจไม่สบอารมณ์ มองว่ามันยืดยาด เพิ่มเวลาฉายหนังเปล่าๆ แถมตัวละครตัดสินใจโง่ๆ ยึดพวกพ้องตัวเองมากกว่าส่วนรวมอีก
แต่ถ้าเคยดูภาคก่อนหน้ามา, เข้าใจสถานการณ์ตามท้องเรื่อง, จำเรื่องราว+หน้าตาตัวละครสำคัญได้หมด คุณคงไม่แปลกใจ กับการตัดสินใจโง่ๆ บางครั้งของบางตัวละคร เพราะเข้าใจความคิด, ความรู้สึก และแรงจูงใจในการตัดสินใจทำอะไรเหล่านั้น
สรุปว่า Death Cure อาจไม่ใช่หนังยอดเยี่ยมหรือมีความสดใหม่ น่าค้นหาอะไร แต่ก็เป็นภาพยนตร์ปิดท้ายเรื่องราว สำหรับคนเคยรับชมสองภาคแรกอย่างแท้จริง ปิดฉากเรื่องราวไตรภาคอย่างเหมาะสมและสวยงามครับ
COMMENTS