เช่นเดียวกับสตูดิโออื่นในฮอลลีวูด, ดิสนีย์เองก็เคยล้มเหลว ในการเปิดแฟรนไชส์ใหม่ ๆ มาไม่น้อย (คุ้น ๆ ชื่อ John Carter บ้างไหม ?) แต่ Tron ซ...
เช่นเดียวกับสตูดิโออื่นในฮอลลีวูด, ดิสนีย์เองก็เคยล้มเหลว ในการเปิดแฟรนไชส์ใหม่ ๆ มาไม่น้อย (คุ้น ๆ ชื่อ John Carter บ้างไหม ?)
แต่ Tron ซึ่งออกฉายครบไตรภาคได้ หลังผ่านมาตั้ง 43 ปี, กลับพบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะที่ ไม่ถาวร
แม้มันประสบความสำเร็จ ทั้งในด้านวัฒนธรรมและเงินตรา เกินกว่าจะโดนตราหน้า ว่าล้มเหลวสิ้นเชิง, หรือถูกยกให้เป็นคอนเทนท์ “เฉพาะกลุ่ม” อย่างแท้จริง
แต่ก็ไม่เคยไปถึง จุดสูงสุดของ IP (ทรัพย์สินทางปัญญา) ในฐานะสิ่งที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ให้กับทางดิสนีย์, ในช่วงยี่สิบปีหลัง
สถานะไม่มั่นคงนี้ มีที่มาจากการเปิดตัวในบ้านช่วงสุดสัปดาห์ ของ Tron: Ares ที่ 33.5 ล้านดอลลาร์, และ 60 ล้านทั่วโลกา
หลังผ่านมา 15 ปี จากตอนที่ดิสนีย์พยายามเปลี่ยนภาพยนตร์ไซไฟ อันเคยโด่งดังเมื่อค.ศ. 1982 ให้กลายเป็นแฟรนไชส์, ด้วยการผลิตภาคต่อ (Tron: Legacy)
และมันก็ทำเงินทั้งหมด 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบบยังไม่ปรับค่าเงินตามกาล
แม้ช่วยให้ทางโรงภาพยนตร์ คึกคักขึ้นบ้าง, หลังเข้าสู่ช่วงซบเซา เช่นเดียวกับไตรมาสแรกของปี
แต่รายได้เปิดตัวของ Tron: Ares ก็ยังต่ำกว่าตัวเลข 44 ล้านดอลลาร์ของ Tron: Legacy ที่ทำไว้ในเดือนตุลาคม 2010 ประมาณ 25%
และสำหรับนักแสดงนำอย่าง จาเรด เลโท, รายได้เปิดตัวนี้ยังต่ำกว่า ตัวเลข 39 ล้านของ “Morbius” ในเดือนเมษายน 2022 (ซึ่งทำเงิน 167 ล้านจากทุนประมาณ 100 ล้าน)
ขณะที่งบสร้างของ Tron: Ares คาดกันว่าคือ 180 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
กลุ่มผู้ชมอายุต่ำกว่า 25 ปี เคยเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้หนังอย่าง Final Destination: Bloodlines และ Top Gun: Maverick, ประสบความสำเร็จในการคืนชีพ IP ซึ่งเก่าแก่หลายสิบปี
แต่เนื่องจากกลุ่มผู้ชมอายุต่ำกว่า 25 ปี ของช่วงสุดสัปดาห์เปิดตัว มีน้อยกว่า 1 ใน 3
Tron: Ares จึงกำลังเผชิญหน้า กับสถานการณ์ที่ต้องเข็นครกขึ้นภูเขา ถ้ายังหวังเข้าใกล้รายรับรวมเก่าของ Legacy
ด้วยความที่ขาดช่วงวันหยุดยาว มาช่วยกระตุ้นยอดขายตั๋ว ในอีกหลายอาทิตย์, ต่างจากหนังแฟรนไชส์เดียวกันรุ่นพี่
“ยากจะระบุชัดเจนว่า เสน่ห์ดึงดูดมวลชนของ Tron ภาคสาม จะมาจากตรงไหน” เจฟฟ์ บ็อก นักวิเคราะห์ฝ่ายประสานงานผู้จัดฉาย กล่าวกับ TheWrap
“มันไม่ได้เฉียบคมเท่าหนังภาคก่อน ๆ และพยายามดึงดูดผู้ชม แบบเหวี่ยงแห
แต่ไม่มีอะไรในนั้นที่พวกคนดู สามารถบอกได้ทันที ว่าไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน”
“สวัสดี, โปรแกรม”
เรื่องราวของ Tron ค่อนข้างแปลกประหลาด, มันเข้าฉายในช่วงซัมเมอร์ ที่มีทั้ง E.T., Star Trek II และ Blade Runner
Tron สามารถทำเงินชนะเพียง เรื่องสุดท้ายในหนังทั้งสาม ด้วยตัวเลข 50 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก
Blade Runner ทำรายได้ 41.9 ล้าน, Trek 97 ล้าน, และ E.T. ทุบสถิติตลอดกาลเวลานั้นไปจบที่ 359 ล้าน
แม้กระนั้น Tron ไม่เพียงแต่กลายเป็นหนังคัลท์ (นิยมเฉพาะกลุ่ม) แต่ยังเป็นภาพยนตร์ที่ ทรงอิทธิพล
ด้วยการผสมผสาน เทคนิคภาพกราฟิกสุดคลาสสิค เข้ากับเอฟเฟ็กต์ใหม่ที่เรียกว่า backlit animation
Tron ทำให้คนในวงการว้าว ด้วยแอนิเมชั่นคอมพิวเตอร์ผลิตล้วน ๆ ฉากแรก ๆ ของโลกภาพยนตร์
ไหนจะยังมีภาพจำแบบฉากซิ่ง มอเตอร์ไซค์วงล้อแสง (light cycle) ที่เคลื่อนไหวบนพื้นหลังสีดำ (เพื่อให้สามารถเรนเดอร์ได้ โดยใช้หน่วยความจำอันจำกัดจำเขี่ย ของคอมพิวเตอร์ยุคนั้น)
ในการสัมภาษณ์ จอห์น แลสซีเตอร์ ผู้กำกับ Toy Story เมื่อปี 1998, เขายกย่อง Tron
ที่แสดงให้เขา กับสตีฟ จอบส์ เห็นถึงศักยภาพในการใช้ คอมพิวเตอร์สร้างภาพเล่าเรื่อง, ซึ่งนำไปสู่การถือกำเนิดของค่าย Pixar
คริส เวดจ์ หัวหน้าทีมแอนิเมชั่นของ Tron ยังได้ก่อตั้ง Blue Sky Studios และกำกับภาพยนตร์ฮิตอย่าง Ice Age, ซึ่งดิสนีย์กำลังจะปลุกชีพแฟรนไชส์ ด้วยหนังภาคที่ 6 ณ ปี 2027
กระโดดข้ามมาสู่ปลายยุค 2000s, เมื่อ Tron สุกงอมในฐานะหนังคัลท์ฮิต
และดิสนีย์กำลังมองหา แฟรนไชส์ไลฟ์แอ็กชั่นเรื่องใหม่ ๆ เพื่อพัฒนา ควบคู่ไปกับ Pirates of the Caribbean
โปรดิวเซอร์หนัง ฌอน เบลีย์ และผู้กำกับโจเซฟ โคซินสกี, ได้ร่วมมือกันนำ Tron เข้าสู่ศตวรรษที่ 21
ตัวอย่างแรกของหนัง โดนใจผู้ชมที่เป็นสาวกทันที, คนเจนเอ็กซ์ (Gen X) ต่างประทับใจกับรูปลักษณ์ใหม่ และการกลับมาของดารานำ (เจฟฟ์ บริดเจส)
ขณะที่วัยรุ่นและ เด็กมหาลัยยุคมิลเลนเนียม ถูกดึงดูดด้วยสไตล์สีดำโก้เก๋ ผสมนีออนสว่างไสวสุดเท่, แบบไม่เกี่ยวว่าพวกเขา เคยดู Tron หรือไม่
และนี่ยังไม่ทันนับรวม ดนตรีประกอบ (soundtrack) ของดาฟต์พังก์ (Daft Punk) เข้าไปเป็นปัจจัยบวกนะ
แต่แล้ว ความเห็นของนักวิจารณ์ต่อ Legacy ก็ยังเป็นเช่นเดียวกับที่มีให้ หนังภาคดั้งเดิม, คือสวยแต่รูป ส่วนเนื้อหาขาด ๆ เกิน ๆ
ถึงกระนั้น Legacy ก็กำข้อได้เปรียบ ตรงที่เผยแพร่ช่วงภาพยนตร์ 3 มิติ กำลังเฟื่องฟู (ซึ่งต้องขอบคุณ Avatar ที่ฉายไปในปีก่อนหน้า)
แม้ว่ามันดึงดูดผู้ชมทั่วโลก ได้ไม่มากเท่ามหากาพย์ ของเจมส์ คาเมรอน
แต่ธีมที่มืดหม่น ทว่าดูได้ทั้งครอบครัว ชวนให้หลีกหนีจากความเป็นจริงอย่างสุดขั้ว
ก็เพียงพอจะทำให้หนังเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จ ยอดทั่วโลกผ่าน 400 ล้านดอลลาร์
ในราวห้าปี หลังจากนั้น, ดิสนีย์ลองเดิมพันว่า Tron จะมีสถานะ IP ที่มั่นคงหลัง Legacy ได้ฤๅไม่
ส่วนหลักฐานเรื่อง ความพยายามดังกล่าว คือซีรีส์แอนิเมชั่น Tron: Uprising
แต่ปี 2012 มาร์เวลกับ ลูคัสฟิล์ม, ได้ย้ายเข้ามาอาศัย ใต้ร่มใบของดิสนีย์
ยิ่งเมื่อรวมกับ ความที่พวกเขามี หนังรีเมคของ Alice In Wonderland กับ Cinderella ของเบลีย์อยู่ในมือ
ดิสนีย์จึงน่าจะมี แฟรนไชส์หนังคนแสดง ถึงโควต้า
ขณะเดียวกัน โครงการ Tron ภาคสาม, ที่กะว่าจะใช้ดารานำเป็น
การ์เรต เฮดลันด์ กับโอลิเวีย ไวลด์ จาก Legacy ต่อ, ก็ค่อย ๆ พังทลาย
จนกระทั่งมีรายงานว่า ดิสนีย์ยกเลิกโปรเจกต์ดังกล่าว แถวพฤษภาคม 2015
โดยค.ศ. 2018 เฮดลันด์บอกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาพยนตร์ไซไฟอีกเรื่องของพวกเขา (Tomorrow Land) แป้ก
แบบว่าทำยอดทั่วโลกได้แค่ เกือบเท่าทุนสร้าง 200 ล้านดอลลาร์
การมาถึงของ 'แอรีส'
นั่นไม่ได้หมายถึง Tron กับมอเตอร์ไซค์แสง อดวิ่งต่อ, อย่างถาวร
ณ ค.ศ. 2016, หนึ่งปีหลังภาคต่อของ Legacy โดนระงับ
ดิสนีย์ได้เปิดสวนสนุกแห่งใหม่ ในเซี่ยงไฮ้, พร้อมกับเครื่องเล่นใหม่ที่อิงจาก ภาพยนตร์ปี 2010
ผู้ไปแอ่วสวนสนุก สามารถปั่นจักรยานแสงได้ด้วยตัวเอง
พร้อมฟังเพลงอิเล็กทรอนิกส์ อันหนักแน่นของ Daft Punk ที่ดังกระหึ่มอยู่เบื้องหลัง
ขณะเดียวกัน มีรายงานในปี 2017 ว่าจาเรด เลโท กำลังผลักดันโครงการ Tron 3 (ใหม่)
โดยจะใช้โปรแกรมหน้าใหม่ จากเดอะ กริด ที่ชื่อแอรีส, เป็นตัวละครหลัก
ในการสัมภาษณ์กับ Polygon, เจสซี วิกูโทว์ (ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Tron: Ares) ให้เครดิตกับเลโท
ที่พากเพียรอย่างไม่ลดละ เพื่อให้โครงการนี้สำเร็จลุล่วง, ทั้งในฐานะนักแสดงนำ และผู้อำนวยการสร้าง
เลโทได้พูดถึงว่า เขาเป็นแฟนตัวยงของ Tron มาตั้งแต่ได้ดูหนังภาคแรกตอนเด็ก ๆ
ดิสนีย์ได้ทุ่มงบการตลาด ให้กับ “Tron: Ares” อย่างเต็มที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำตลาด เพลงประกอบภาพยนตร์ ของเทรนต์ เรซเนอร์ และแอตติคัส รอสส์
ผ่านวงดนตรีร็อกอินดัสเทรียล ของพวกเขาอย่าง Nine Inch Nails
เลโตได้ปรากฏตัว อย่างโดดเด่น ในสื่อประชาสัมพันธ์
พร้อมด้วยมอเตอร์ไซค์แสง และยวดยานอื่น ๆ จากเดอะ กริด, ที่บุกเข้าสู่ โลกแห่งความเป็นจริง
สวนสนุกต่าง ๆ ร่วมโปรโมต ด้วยเครื่องเล่น Tron ที่ใช้ธีม Ares
แต่ในสุดสัปดาห์เปิดตัว Ares กลับชะงักงัน, เป็นหนสาม ที่คำวิจารณ์เชิงบวกจากนักวิจารณ์ ครอบคลุมแค่ภาพ และเพลงประกอบ
แม้กระแสตอบรับของผู้ชม ดูเหมือนจะเป็นไปในเชิงบวก เฉกเช่น Legacy
ทว่าผู้ชมในสุดสัปดาห์เปิดตัว กลับมีเพียง 30% เท่านั้น ที่อายุต่ำกว่า 25 ปี
ชี้ให้เห็นว่าคนรุ่นมิลเลนเนียล และเจนเอ็กซ์ (ซึ่งเคยดูภาพยนตร์สองเรื่องก่อนหน้า) คือกลุ่มที่แบกยอดขายตั๋ว
ขณะที่เลโท อาจเป็นผู้ชนะ ในการนำ Tron หวนคืนสู่โรงภาพยนตร์
เจฟฟ์ บ็อก มองว่าการเปิดตัว Ares ล้มเหลวยิ่งกว่า "Morbius"
เป็นสัญญาณว่า ณ 9 ปีหลังจาก หนัง Suicide Squad, นักแสดงวัย 53 ปีรายนี้ ได้มาถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว
“ถ้าคุณขายหนังเรื่องนี้ ให้กับคนรุ่นเก่าที่คุ้นเคยกับ Tron มากกว่า, ก็ยังน่าสนใจอยู่บ้าง
แต่ตัวเอกรุ่นใหม่ จะดึงคนรุ่นใหม่ เข้าโรงหนังได้ยังไง ?” เขากล่าว
สุดปลายทาง
ปีที่แล้ว เบลีย์, โปรดิวเซอร์ผู้เป็นหัวใจสำคัญ อันทำให้ Tron
ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ที่ หยิบวัฒนธรรมป๊อปยุค 80s มาขายเลหลัง, ได้ลาออกจากตำแหน่ง ประธานฝ่ายผลิตของดิสนีย์
ส่งผลให้ผลงานของเขา ปิดฉากลงอย่างงดงาม, หลังจากอยู่กับสตูดิโอมา 14 ปี
Tron: Ares เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นท้าย ๆ ของเขา
การเปลี่ยนแปลงลักษณะดังกล่าว มักมาพร้อมแนวทางใหม่ ในการอนุมัติให้สร้างภาพยนตร์
และสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากดิสนีย์ ภายใต้การนำของเดวิด กรีนบาม ผู้สืบทอดตำแหน่งของเบลีย์, ยังคงต้องรอดูกันต่อ
แผนงานของสตูดิโอในปี 2026 มีภาพยนตร์ที่ไม่ใช่ IP สองสามเรื่องจาก 20th Century Studios
เช่น Whalefall หนังระทึกขวัญเอาชีวิตรอดของ จอช โบรลิน
แต่ของขายที่สำคัญกว่า ย่อมเป็นพวก Toy Story 5, ภาพยนตร์รีเมคฉบับคนแสดงเรื่อง Moana (ซึ่งเบลีย์คือคนแรก ที่ให้ไฟเขียว), และ Avengers: Doomsday ของมาร์เวล
แต่สำหรับตอนนี้ ดูเหมือนว่า Tron จะถึงจุด สุดปลายทาง
อย่างน้อยก็ในแง่ของการ ผลิตภาพยนตร์ และรายการโทรทัศน์
แม้ว่ามันคงจะ ยังยืนหยัดต่อได้ ในสวนสนุกของดิสนีย์
และอาจรวมถึง คอนเทนท์สำหรับฉาย ในสื่อรูปแบบอื่น ๆ
แม้ไม่เคยประสบความสำเร็จ ในระดับเดียวกับ Pirates of the Caribbean
แต่ความตั้งใจของสตูดิโอดิสนีย์ ที่จะฟื้นคืนชีพแฟรนไชส์นี้ ด้วยโปรเจกต์มากมาย
ได้สืบทอดโลกของ เกมสเปซพารานอยด์ (Space Paranoids) และ The Grid สู่ความทรงจำของ เหล่าคนรุ่นใหม่
ที่อาจฝันอยากซิ่ง มอเตอร์ไซค์ล้อเปล่งแสง, และโยนแผ่นดิสก์ข้อมูล ต่อสู้กับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ชั่วร้าย
“Tron มีอิทธิพลอย่างมาก ต่อวงการไซไฟและวัฒนธรรมป๊อป, ชนิดที่ว่า ไม่อาจมองข้าม” บ็อกกล่าว
“มันเป็นโลกที่ผู้คนมากมาย อยากมีส่วนร่วม, จาเรด เลโทเอง ก็คือหนึ่งในนั้น”
ที่มา: the wrap
COMMENTS