เหล่ายูสเซอร์ (ผู้ใช้งานโปรแกรม) สมควรเตรียมตัวให้พร้อม, เพราะทรอนแอรีส กำลังจะแทรกแซงความจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ พร้อมที่จะสานต่อจาก ตอนจบแบ...
เหล่ายูสเซอร์ (ผู้ใช้งานโปรแกรม) สมควรเตรียมตัวให้พร้อม, เพราะทรอนแอรีส กำลังจะแทรกแซงความจริง
ภาพยนตร์เรื่องนี้ พร้อมที่จะสานต่อจาก ตอนจบแบบปลายเปิดในค.ศ. 2010 ของ ทรอนล่าข้ามโลกอนาคต (Tron: Legacy)
ด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับ โปรแกรมจากโลกดิจิทัล, ซึ่งเดินทางเข้าสู่ โลกแห่งความเป็นจริง (ของในหนัง) อย่างที่จักรวาลทรอน ยังไม่เคยทำมาก่อน
ณ ช่วงต้นปี 2024 ดิสนีย์ได้เชิญ IGN ให้ไปเยี่ยมชมกองถ่าย Tron: Ares
เพื่อแบ่งปัน รายละเอียดมากมาย เกี่ยวกับหนังทรอนแห่งยุคใหม่
ว่าลักษณาการของมัน นั้นเป็นฉันใด, และพวกเขาใช้วิธีไหน สร้าง (ดิสก์) รูปพรรณ ของตัวเอง
Tron: Ares ภูมิใจในมรดก (Legacy) ของตน… แต่ยังคงรักษาระยะห่างไว้
การเยี่ยมชมฉากของสื่อต่างประเทศ เริ่มต้นด้วยการนั่งรอบโต๊ะพูดคุยกับ จัสติน สปริงเกอร์, โปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์
ผู้เริ่มต้นความเกี่ยวข้องกับแฟรนไชส์ ผ่านการร่วมอำนวยการผลิต (เป็น co-producer) ใน Tron: Legacy
แน่นอนว่าหนึ่งในคำถามแรก ๆ คือ Ares จะดำเนินเรื่องราว ต่อจากล่าข้ามโลกอนาคต, อย่างไร
รายงานอันเกี่ยวเนื่องกับ Tron 3 (ตอนนั้น ยังไม่ได้ชื่อ Ares) เคยบอกว่า น่าจะเป็นงานรีบูต, โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่โปรแกรมหน้าใหม่ ชื่อแอรีส ที่หลุดเข้าสู่โลกความจริง
ซึ่งว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว มันค่อนข้างน่าสับสน, ด้านความต่อเนื่อง
เนื่องจาก Tron: Legacy เคยมีตอนจบที่แซม ฟลินน์ (ลูกชายของเควิน ฟลินน์ ตัวละครของเจฟฟ์ บริดเจส)
พาโปรแกรมที่มีความรู้สึก (ควอรา) กลับมาโลกความจริงด้วยกัน
สปริงเกอร์ยืนยันว่า Ares จะเป็นทรอนภาคต่อ แบบซอฟต์รีบูท (เริ่มใหม่โดย ไม่ได้ทิ้งของเก่าหมด)
เขาระบุว่าทางค่ายดิสนีย์ รู้สึกว่า Ares ควรเป็น “ช่วงเวลาอันเหมาะสม จะก้าวพ้นจากอดีต”, ที่เป็นเหตุการณ์ใน Legacy
แต่ระหว่างที่สื่อ เยี่ยมกองถ่ายต่อ พวกเขาดันพบว่าเจฟฟ์ บริดเจส, ยังคงกลับมาสวมวิญญาณ เควิน ฟลินน์ (หรือจะข้อมูลดิจิทัล ที่หลงเหลืออยู่ของเขาก็ตาม)
เพราะงั้นก่อนที่คำอธิบาย จะยิ่งยืดยาว พาลพาให้งุนงงหนักขึ้นเรื่อย ๆ
เราสามารถสรุปความได้ว่า จากสิ่งที่สื่อเห็น Tron: Ares คือภาคต่อของ Tron: Legacy จริงแท้, แม้จุดสนใจหลัก ไม่ใช่พ่อลูกฟลินน์แล้วก็ตาม
สปริงเกอร์กล่าวถึงสิ่งที่ Ares เป็น ในหัวข้อนี้ว่า, ไม่ใช่ครั้งแรก ที่หนังชุด Tron มีพัฒนาการ จากสิ่งที่มันเป็นในภาคแรก ของปี 1982
ซึ่งตั้งคำถามว่า โลกด้านในของคอมพิวเตอร์ ควรมีลักษณะประมาณไหน
เพราะ Legacy ต่อยอดไอเดีย ด้วยการพิจารณาว่า, โลกแห่งนั้นจะวิวัฒนาการแบบใด เมื่อแยกตัวออกมา
และสำหรับ Ares โจทย์ก็คือ, จะเกิดอะไรขึ้นยามเส้นแบ่งระหว่าง โลกคอมพิวเตอร์กับโลกของเรา ชักเลือนราง ?
ยิ่งในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ อยู่ในหัวข้อสนทนาทางสังคม ทั่วหล้า, หัวข้อนี้ยิ่งสมควร ถูกหยิบยกมาขุด
ไลท์ไซเคิลส์ (Lightcycles) ถูกสร้างขึ้นจริง เป็นครั้งแรก
เมื่อจะกล่าวถึงภาพจำของ Tron ย่อมไร้สิ่งใดเกินหน้า จักรยานยนต์วงล้อแสง (ไลท์ไซเคิล)
เพราะขอบโค้งมนโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ ดูเรียบง่ายแต่หรูหรา, และเส้นแสงของแข็งเป็นทางยาว ที่มันหลงเหลือหลังวิ่งผ่าน
ในภาพยนตร์สองภาคแรก ไลท์ไซเคิลส์เป็นผลงานสร้างสรรค์ ทางดิจิตอลทั้งหมด
แต่สำหรับทรอนแอรีส ซึ่งจะนำผลผลิตจากเดอะ กริด (the Grid) มาสู่โลกจริง, ถึงเพลาแล้วที่ไลท์ไซเคิลส์ จะต้องก้าวไปอีกขั้น
ถัดจากจัสติน สปริงเกอร์, สื่อใช้เวลาเยี่ยมชมส่วนมาก กับดาร์เรน กิลฟอร์ด
ผู้ออกแบบงานสร้างของ Tron: Ares, ที่เคยฝากผลงานไว้แล้ว ณ ภาค Legacy
กิลฟอร์ดยังได้สร้างผลงานน่าประทับใจ อีกหลายอย่าง (นอกจากทรอน) ตลอดประมาณยี่สิบปีที่ผ่านมา
เช่นทำงานใน ไตรภาคภาคต่อ ของสตาร์วอร์ส, หรือออกแบบมอเตอร์ไซค์แบทพ็อดสุดเท่ ณ The Dark Knight
และเขาก็นำประสบการณ์ ในงานเหล่านั้นมาใช้ ผลิตมอเตอร์ไซค์วงล้อแสง, ซึ่งสามารถใช้อุปกรณ์ลากจูง เพื่อถ่ายทำฉากไล่ล่าได้จริง เป็นครั้งแรก
ดีไซน์ไลท์ไซเคิลใน Ares เปลี่ยนแปลงจากของดั้งเดิมใน Legacy ไม่มาก, และเน้นความเก๋ไก๋ ยิ่งกว่านั่งสบาย
กิลฟอร์ดระบุว่า จุดสำคัญสำหรับงานออกแบบ ณ ที่นี้ คือธีมที่ตอบรับการผสมผสาน, ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร
วิธีซึ่งผู้ขับขี่จะใช้งาน ก็ชวนให้รู้สึกว่า สอดตัวเข้าช่อง, มากกว่าจะแค่ขึ้นคร่อม
เดอะ กริดส์ (The Grids)
ขณะสื่อสนทนากับ จัสติน สปริงเกอร์, ตาก็พาลเหลือบไปปะ สตอรี่บอร์ดจำนวนมาก
และหนึ่งในองค์ประกอบ อันน่าสนใจที่สุด บนของพวกนั้น, คือวิธีที่ภาพยนตร์ จะนำเสนอแนวคิดของ “เดอะ กริด”
พรมแดนของโลกดิจิทัล ซึ่งเหล่าตัวละครมักพบว่า พวกเขาเข้าไปติดข้างใน (เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่านั่งหันหลังให้ปืนเลเซอร์ ในจักรวาลทรอนนะเด็ก ๆ)
เพราะมันแสดงให้ประจักษ์ว่า กำลังจะมีกริด ‘หลายแห่ง’ ในหนังเรื่องเดียว
ก่อนที่เราจะไปต่อ, ขอสาธยายข้อมูล เพื่อผู้ไม่คุ้นจักรวาลทรอน จะได้ปะติดปะต่อ
ต่างโลกใน Tron ภาค 1 กับ Tron: Legacy จัดว่าเป็นโลกดิจิตอล คนละใบ, และไม่เหมือนกัน
กริดของปี 1982 ดำรงอยู่ ณ ด้านในระบบคอมพิวเตอร์แบบปิด ของบริษัทเอ็นคอม (ENCOM)
โดยฟลินน์ (คนพ่อ) ถูกมาสเตอร์คอนโทรลโปรแกรม (เอไอที่ตื่นรู้) ใช้เลเซอร์สลายร่างเขา เปลี่ยนเป็นข้อมูล ส่งเข้าสู่โลกคอมพิวเตอร์
อย่างไรซะ ฟลินน์สามารถหวนคืนสู่โลกจริง เปิดโปงคนนามสกุลดิลลินเจอร์ (Dillinger) ที่ขโมยผลงานเขา, และกลายเป็นผู้บริหารสูงสุด ของเอ็นคอมตอนจบ
ส่วน Tron: Legacy บอกเราว่า หลังจากเควิน ฟลินน์ รวยเละและเส้นใหญ่
เขาไปหาทำ กริดแห่งใหม่ (โลกคอมพิวเตอร์ใบใหม่) นอกเซิร์ฟเวอร์ของเอ็นคอม, เพื่อทดสอบขีดจำกัด แห่งการสร้างสรรค์ ในโลกดิจิทัล
การทดสอบดังกล่าวนำไปสู่ การถือกำเนิดของ สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่, อย่างไอโซ (ISO)
เผ่าพันธุ์ที่อุบัติขึ้นเอง ยามเมื่อสภาพแวดล้อมของโลกพร้อม, ดั่งงานของพระเจ้า
ต่างโลก ใบที่มีไอโซเกิดนี่เอง ที่เควิน ฟลินน์, ควอรา (ไอโซ), และลูกชายผู้ห่างเหิน (แซม ฟลินน์)
ต่างต้องเผชิญหน้ากับคลู (Clu), อวตารดิจิตอลจอมเผด็จการ ที่สร้างจากข้อมูลเควิน ฟลินน์เอง…
และนั่นแหละ, ในหนังสองภาคแรก แต่ละภาคต่างก็มี เดอะกริดเป็นของตน
เพื่อไม่ให้สปอยล์เกินเหตุ, สื่อเผยแค่ Tron: Ares จะมีโลกดิจิทัล 3 ใบ แยกจากกัน
หนึ่งใบเป็นของ ดิลลินเจอร์ คอร์เปอเรชั่น, อีกหนึ่งใบเป็นของ เอ็นคอม, ส่วนใบสุดท้าย ขออุบไว้ก่อน
การผสมผสานโลกแห่งความจริง และโลกดิจิทัล
แฟรนไชส์ทรอน เคยขึ้นชื่อด้านเทคโนโลยี และการผลิตภาพยนตร์, ที่ล้ำสมัย
หนังปี 1982 ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง, ว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก ที่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างภาพต่าง ๆ ปริมาณมาก
และ Legacy ได้ช่วยบุกเบิก การสร้างภาพยนตร์ 3 มิติ ของศตวรรษที่ 21…
แม้ตัวร้ายอย่างคลู ซึ่งใช้เทคนิคพิเศษสร้างเจฟฟ์ บริดเจส ฉบับย้อนวัย, อาจดูเก่าไป (ไม่เนียน) ตามกาลเวลา
การเยี่ยมกองถ่าย ไม่ช่วยให้ตัดสินได้, ว่า Ares จะนำนวัตกรรมใด มาสู่วงการเทคนิคด้านภาพอีกไหม
แต่โยอาคิม รอนนิง (Joachim Rønning) ผู้กำกับ Ares ได้อวดอ้างว่าหนังเรื่องนี้, จะเป็นจอกศักดิ์สิทธิ์ แห่งวงการคอมพิวเตอร์กราฟิก
และสิ่งที่ถูกกองไว้ ในกองถ่าย บ่งชี้ว่า Tron: Ares จะทำทุกวิถีทาง, เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวอย่าง มีชีวิตชีวา
แม้ว่าจะมีการถ่ายทำ นอกสถานที่บ้าง, แต่การเยี่ยมกองถ่ายของ IGN จำกัดอยู่ในสตูดิโอ ซึ่งพวกเขาไปดู ณ แวนคูเวอร์
พวกเขาได้ชมฉากที่ถ่ายด้วยเทคโนโลยี volume digital ในเวทีบันทึกเสียง (soundstages), ซึ่งสตูดิโอต่าง ๆ ใช้กันแพร่หลาย ในช่วงไม่กี่ปีหลัง
ฉากดังกล่าว เล่าเหตุการณ์บนโลกจริง (ของหนัง), ที่ตัวละคร อีฟ คิม ของเกรตา ลี กำลังลากสายเคเบิลยาว สู่คอนโซลใน หอคอยส่งสัญญาณ
นอกจากนั้นพวกเขา ยังได้เดินผ่านสะพานเรือจำลอง ของยานบินสีดำแดง
และฉากห้องชุดผู้บริหาร ณ สำนักงานใหญ่เอ็นคอม, ที่ของตกแต่งภายในชี้เป้าว่า เควิน ฟลินน์ เคยใช้มันมาก่อน
คาเมรอน โมนาแฮน จะข้ามจาก Star Wars มาควงกระบี่แสงคู่ ในฉากต่อสู้
เหล่าเนิร์ดของ IGN ที่ถูกส่งไปกองถ่าย ภายยนตร์ Tron ภาคใหม่, ถูกพาขึ้นไปยังเวทีสีน้ำเงิน (บลูสกรีน)
ซึ่งมีนักแสดงสตั๊นท์ประมาณ 1 โหล กำลังฝึกซ้อมคิวบู๊ เพื่อฉากต่อสู้ของไคอัส (Caius), โปรแกรม (ตัวละคร) อันแสดงโดยคาเมรอน โมนาแฮน (Cameron Monaghan)
ดาราผู้ที่สาวกสตาร์วอร์ส จะคุ้นหน้าในฐานะแคล เคสติส (Cal Kestis) จาก Star Wars: Jedi เกม
โมนาแฮนมาพร้อมกับ กระบองคู่ ที่ดูคล้ายกระบี่แสง (ซึ่งเคสติสเคยใช้ในเกม SW)
เพราะงั้นเรื่องฉากแอ็คชั่น จึงน่าคาดหวังเช่นกัน สำหรับหนังแอรีส, และอาจถึงขั้นน่าตื่นเต้น สำหรับคนเคยเล่นเกมชุดดังกล่าว
ที่มา: ign
COMMENTS