เรื่องราวในมหากาพย์ของโทลคีน เริ่มตั้งแต่ยัง "ไม่มีโลก" เสียด้วยซ้ำ องค์อิลูวาทาร์ (Ilúvatar) พระเจ้าสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว, เหนี...
เรื่องราวในมหากาพย์ของโทลคีน เริ่มตั้งแต่ยัง "ไม่มีโลก" เสียด้วยซ้ำ
องค์อิลูวาทาร์ (Ilúvatar) พระเจ้าสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว, เหนี่ยวนำให้ทวยเทพ ประกอบคีตการ
แล้วใช้มันกำหนดทิศทางประวัติศาสตร์ ประจำอาณาเขตที่เหล่า 'บุตรของพระองค์' จะอาศัย
แม้ระหว่างขั้นตอนถูกแทรกแซง โดยเทพผู้กร้าวแกร่ง และรสนิยมทางดนตรีแตกต่าง
ปวงวาลาร์และไมอาร์ผู้ขยันขันแข็ง พยายามปั้นมัชฌิมโลกให้เป็น เขตแดนแสนสวยในอุดมคติ
แต่เทวดาหัวขบถ ยังยึดติดกับรสนิยมที่แตกต่าง สร้างความปั่นป่วยแก่ชาวบ้านเค้าเรื่อย
จนทวยเทพขอย้ายหนีข้ามมหาสมุทร ผละจากทวีปใหญ่มิดเดิลเอิร์ธ ไปปักหลักบนแผ่นดินทางตะวันตกไกลลิบ
แล้ววันหนึ่ง ณ อาณาจักรชื่อ 'วาลินอร์' ทวิพฤกษา ซึ่งส่องสว่างอย่างศักดิ์สิทธิ์ก็งอกงาม
ปวงวาลาร์เชื้อเชิญให้พวกเอล์ฟ ที่ลืมตาตื่นบนฟ้าพร่างดาว (แบบทั้งวันทั้งคืน) แถวทวีปหลัก, ย้ายตามไปอยู่วาลินอร์ด้วย
จากนั้นเอล์ฟโนลดอร์ นาม 'เฟอานอร์' ได้ผลิตซิลมาริล
มหามณี 3 ชิ้นที่บรรจุ แสงของโคตรต้นไม้ทั้งสองไว้
ก่อนเทวดานักเลง "มอร์ก็อธ" จะก่อการร้ายใส่ ทำทวิพฤกษาแห้งตายไป
ยุคที่หนึ่งของมิดเดิ้ลเอิร์ธ
แถวๆ ช่วงเวลาที่ชาวเอล์ฟโนลดอร์ ทำตัวต่อต้านเทพ และขอลากลับสู่ทวีปหลัก
วาลาร์ยังคงมีเมตตา แก่เหล่าบุตรแห่งพระเจ้าอยู่ จึงผลิต 'ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์'
แล้วส่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อให้แสงสว่าง ได้นำทางเหล่าอมตชน (ผู้มีชีวิตนิรันดร์)
เกณฑ์วัด "ยุคแรก" ของมัชฌิมโลก จากงานต้นฉบับของโทลคีน แอบคลุมเครือ
คือมองว่ายุคที่หนึ่งเริ่มตรง มีพระอาทิตย์พระจันทร์, หรือนับตั้งกะตอน วันคืนแห่งทวิพฤกษา ก็คงได้
แต่เอาเป็นว่ายุคที่หนึ่งลากยาวไป จนถึงจุดที่บุตรแห่งอิลูวาทาร์ (ของแท้) ชุดสอง
หรือก็คือ "มนุษย์" ได้มีบทบาทสำคัญบ้าง (แม้จะน้อยหาก เทียบกับอมตชน)
ยุคแรกครอบคลุมเวลาประมาณ 600 ปี, ช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่นี่
มีสงครามเกิดต่อเนื่อง, ยืดเยื้อ, ซับซ้อน เกินกว่าจะลงรายละเอียดแล้วจบใน ไม่กี่ย่อหน้า
โดยรวบรัดคือว่าปวงพราย (พวกเอล์ฟ) ได้เปรียบ และปิดล้อมอังก์บันด์ (ป้อมปราการหลัก) ของมอร์ก็อธหลายศตวรรษ
อย่างไรก็ตาม หลังกาลล่วงผ่านอีกนับร้อยปี
จู่ๆ มหึมากองทัพของมอร์ก็อธ ก็โผล่พรวดออกจากป้อม และกำชัยหลายรอบ, ผลักดันปวงพรายให้ถอยร่น
ณ ตรงนี้, เหล่าวาลาร์เลิกนิ่งเฉย และยอมเสด็จคืนสู่มิดเดิลเอิร์ธ
เพื่อช่วยเอล์ฟใน สงครามแห่งความโกรธา (the War of Wrath)
ความขัดแย้งระดับหายนะ ยุติด้วยการแพ้ราบคาบของมอร์ก็อธ และเทพอสูรถูกเตะโด่งสู่สุญภูมิ
แม้ต้องแลกกับความพินาศของ สารพัดภูมิประเทศ, เช่น แผ่นดินแยก และน้ำท่วมทวีป ส่วนตะวันออก
ยุคที่สอง
หลังศึกตัดสินกับมอร์ก็อธ ซึ่งเป็นจุดยุติของยุคที่หนึ่ง
วาลาร์พาเอล์ฟจำนวนมากคืนสู่วาลินอร์, ในขณะที่เอล์ฟกลุ่มอื่น
รวมทั้งมนุษย์, คนแคระ และบรรดาอสูรร้ายสัตว์ประหลาด
แพร่ขยายประชากร สู่ทางตะวันออกของทวีปหลักมากขึ้น
สงครามกับมอร์ก็อธ มักก่อผลกระทบถึงขั้น เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิศาสตร์ของมิดเดิลเอิร์ธ
เมื่อหมอนั่นโดนเก็บออกนอกฉาก, แผนที่ของมัชฌิมโลกจึงเริ่มแปรสภาพน้อย
และชักคล้ายที่ปรากฏในยุคของ the Lord of the Rings (แม้โลกจะยังแบนราบ)
แต่ข้อยกเว้นหลักคือเกาะที่วาลาร์ เนรมิตขึ้นมาตรงระหว่าง วาลินอร์กะทวีปมิดเดิลเอิร์ธ, เพื่อเผ่าพันธุ์ที่โปรดปราน (มนุษย์ชาวนูเมนอร์)
ฟากแผ่นดินใหญ่, มีการก่อตั้งอาณาจักรพรายขึ้นหลายแห่ง รวมถึงริเวนเดลล์ของฮาล์ฟ-เอล์ฟ "เอลรอนด์"
มอร์ก็อธโดนเนรเทศแล้วจริงอยู่ แต่สมุนบริวารยังเหลือบนโลกมหาศาล, และพวกมันยังก่อปัญหาไม่เลิกในยุคที่ 2
ตัวป่วนท็อปสุดของบรรดานั้น คือไมอาร์อย่าง "เซารอน"
ผู้หลบไปอยู่แถวมอร์ดอร์ ตั้งกะช่วงต้นของยุค 2, และพยายามหว่านล้อมให้พวกเอล์ฟ ยอมเชื่อใจ
เซารอนในยุคที่ยังใช้รูปลักษณ์หล่อเหลา เป็นร่างจำแลง
ร่วมแรงกับพรายผลิตแหวนแห่งอำนาจ (rings of power) หลายวง โดยแอบสร้างแหวนเอก (One Ring) ที่เป็นประมุขเหนือวงอื่นๆ ลับหลัง
แหวนเอกเพิ่มพลังเซารอนได้ แต่การผูกชะตากับไอเท็มทำให้มัน กลายเป็นจุดอ่อนเขาเช่นกัน
เอล์ฟรู้ทันแผนของเซารอนเข้า จึงซ่อนแหวนของพวกตน
เซารอนผู้ปิดเจตนาโหดไม่มิดแล้ว หันไปพึ่งพาการใช้กำลัง
เขายึดครองมิดเดิลเอิร์ธได้เกือบทั้งหมด ก่อนจะโดนขวางกลางคัน โดยทัพชาวนูเมนอร์
เซารอนจึงแกล้งยอมแพ้ แล้วเปลี่ยนไปใช้ ยุทธวิธีบ่างช่างยุ
เสี้ยมให้ราชานูเมนอร์ ก่อกบฏต่อทวยเทพ
ยกทัพรุกรานวาลินอร์เพื่อช่วงชิงความอมตะ (โดนหลอกจ้า ความจริงไม่มีทางทำได้นะจ๊ะ)
ตำหนักปวงวาลาร์ เจอสถานการณ์ร้อนฉ่า จึงส่งกระทู้ถามความเห็นพระเจ้า
อิลูวาทาร์ทรงไม่ปลื้ม การลบหลู่งวดนี้ อย่างสาหัส
พระองค์จึงบันดาลให้นูเมนอร์ทั้งแผ่นดิน หายวับจากแผนที่
และปรับแผ่นโลกให้กลายเป็น 'ทรงกลม' ซะ เพื่อจะไม่มีชาวมิดเดิลเอิร์ธหน้าไหน
เยือนวาลินอร์ (อันน่าจะแยกตัวไปลอยเท้งเต้ง กลางสุญภูมิละ) ได้อีก ยกเว้นเทพอนุญาต
เคราะห์ดีว่า ไม่ใช่ราษฎรนูเมนอร์ จะสิ้นชีพหมดเพราะเหตุการณ์นี้
ผู้รอดตายบางส่วน ที่รู้จักในชื่อกลุ่มผู้ศรัทธา (the Faithful)
พากันไปตั้งรกรากบนทวีปใหญ่ และก่อตั้งอาณาจักร 'อานอร์' กับ 'กอนดอร์'
จากนั้นเซารอนก่อเรื่อง ระรานผู้อื่นซ้ำ
อาณาจักรของชาวนูเมนอร์จึงจับมือ เป็นพันธมิตรกับพวกเอล์ฟ และปราบเซารอนลงในที่สุด
ยุคที่สาม
ความพ่ายแพ้รอบใหญ่จนสูญเสียร่างเนื้อไป ของเซารอน คือตอนจบของยุค 2 (อันยาวเกือบ 3,500 ปี)
ส่วนประวัติศาสตร์ของยุค 3 ที่ยาวราว 3,000 ปี โดยหลักแล้วข้องเกี่ยวกับอาร์นอร์ และกอนดอร์
อาณาจักรทั้งสอง ยืนหยัดผ่านกาลเวลาได้อย่างเข้มแข็ง, แม้อาร์นอร์โดนทำลายโดยราชาภูติแห่งอังก์มาร์
(Witch-king of Angmar ที่ปรากฏใน LOTR และโดนสตรีนามเอโอวีนฆ่า อีกหลายศตวรรษให้หลัง)
กอนดอร์อึดกว่า แต่ค่อยๆ เสื่อมถอยเพราะชาวต่างถิ่นรุกราน, สงครามกลางเมือง และโรคระบาด
ประมาณ 1,000 ปีหลังล่วงเข้ายุคสาม, พ่อมดทั้ง 5 ปรากฏกายา
พวกเขาคือไมอาร์ที่จำแลงกาย มาโผล่บนมิดเดิลเอิร์ธ
เพื่อคอยช่วยเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์ ต้านรับเซารอนโดยเฉพาะ
เพราะเจ้าตัวร้ายยังอยู่ แม้สูญเสียกายหยาบเรียบร้อย
ณ ครึ่งหลังของยุคสาม, ดินแดนไชร์ (Shire) ได้รับการก่อตั้งโดยเผ่าพันธุ์ฮอบบิท
กอลลัมฆาตกรรมเพื่อน เพื่อชิงแหวนเอก แถวเทือกเขามิสตี้
เอล์ฟไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหว อำนาจทางการเมืองของพวกเขาชักเสื่อมถอย
อย่างไรก็ตาม, คนแคระปลุกอสูรร้ายนาม 'บัลร็อก' ให้ตื่น จากการหลับใหล ภายในห้วงลึกของเหมืองมอเรีย
และจุดชนวน 'สงครามห้าทัพ' ขึ้นในยุคสมัยของนิยาย (และภาพยนตร์ไตรภาค) เรื่อง The Hobbit
เมื่อพ้นสงครามห้าทัพ, เซารอนโดนขับไล่ชั่วคราว
แต่มันพร้อมทวงอำนาจอีกรอบในช่วงของ อภินิหารแหวนครองพิภพ (The Lord of the Rings)
ผลลัพธ์จบตรงเซารอนเดี้ยงถาวร และกษัตริย์อารากอร์นขึ้นครองราชย์
ในอาณาจักรที่รวมแผ่นดินกอนดอร์ กับอานอร์เข้าด้วยกัน
ยุคที่สี่
หลังเอกธำมรงค์ (แหวนประมุข) โดนทำลายไม่ถึง 3 ปี
เมื่อฮอบบิทโฟรโด & บิลโบ ล่องเรือสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พร้อมผู้ถือครองแหวนเอล์ฟทั้งสาม (แกนดัล์ฟ, กาลาเดรียล, เอลรอนด์)
นาทีดังกล่าวก็เท่ากับ ยุคสามถึงกาลสิ้นสุด
เรารู้เรื่องเกี่ยวกับยุคสี่น้อยมาก หากเทียบกับยุคอื่น ๆ
จะว่าไปแล้วมันก็แค่ บทส่งท้ายเกี่ยวกับ คณะพันธมิตรแห่งแหวน, ซึ่งมีบทบาทสำคัญยิ่งใน LOTR เสียมากกว่า
อารากอร์น ครองราชย์ยาวนานนับศตวรรษ ก่อนสิ้นลมหายใจ
อาร์เวน/มเหสีฮาล์ฟ-เอล์ฟ (พรายเลือดผสม) ของพระองค์ ตรอมใจจนล่วงลับตาม
แซมไวส์ได้เป็นนายกเทศมนตรี ประจำมิเชลเดลวิ่ง (Michel Delving) เมืองใหญ่สุดของไชร์
เมอร์รี่กับปิ๊ปปิ้น กลายเป็นหัวหน้าครอบครัวฮอบบิท ที่ขยายใหญ่
และลือกันว่าเอล์ฟรูปหล่อเลโกลัส ขึ้นเรือมุ่งสู่ตะวันตก, โดยมีคนแคระกิมลีเพื่อนซี้ ร่วมทาง
ทั้งสองจะไปวาลินอร์จริงหรือไม่ ? ถึงที่นั่นไหม ? โทลคีนคงอยากปล่อยให้เราตีความเอง
ที่มา: looper
COMMENTS