ยามคุณมีบ็อบ โอเดนเคิร์ก เป็นศูนย์กลางของโปรเจกต์, สิ่งต่าง ๆ ย่อมไม่เป็นดั่งคุณเห็น เมื่อมองเพียงห่าง ๆ เช่นเวลาคุณสร้างภาคต้น ของรายการโ...
ยามคุณมีบ็อบ โอเดนเคิร์ก เป็นศูนย์กลางของโปรเจกต์, สิ่งต่าง ๆ ย่อมไม่เป็นดั่งคุณเห็น เมื่อมองเพียงห่าง ๆ
เช่นเวลาคุณสร้างภาคต้น ของรายการโทรทัศน์อันประสบความสำเร็จ และแหวกแนวที่สุดเรื่องหนึ่งอย่าง, มีปัญหา ปรึกษาซอล (Better Call Saul)
มันก็จะไม่ใช่แค่ การหวังโกยเงินต่อ แบบไร้จิตวิญญาณ, แต่คือละครที่ดำเนินเรื่อง อย่างเนิบช้า ชวนขบคิด
ซึ่งเปลี่ยนทนายความจอมเจ้าเล่ห์ ให้ดูเป็นตัวละครที่น่าเศร้า และน่าติดตามที่สุดตัวหนึ่ง ในวงการโทรทัศน์
เช่นเดียวกับอีกบทบาท ของดาราผู้นี้ อย่างฮัทช์ แมนเซลล์, ในภาพยนตร์คนธรรมดานรกเรียกพี่ (Nobody 1)
สิ่งที่น่าจะเป็น แค่หนังบู๊ดาดาษ, กลับคือโอกาสสำหรับโอเดนเคิร์ก ที่จะถ่ายทอด ประสบการณ์ลำบากส่วนตัว
และ Nobody ภาค 2 ก็กำลังจะแสดงผลลัพธ์จาก ความกระตือรือร้นของโอเดนเคิร์ก
ในการสร้างตัวละคร ที่เราเข้าถึงหัวอกได้ กับฉากแอ๊คชั่น อันเข้มข้นสมจริง, อีกครั้ง
เขาก็แค่ อยากพักร้อน…
Nobody 2 ว่าด้วยเรื่องอดีตมือสังหาร ของรัฐบาล อย่างนายฮัทช์ แมนเซลล์, กับครอบครัวของเขา ที่ต้องการเที่ยวพักผ่อน
อย่างไรก็ตาม กลุ่มอันธพาลนิสัยเสีย โผล่มาเป็นมารผจญ, จนฮัทช์ต้องพึ่งพา วิถีแห่งความรุนแรง
ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย เพราะเมืองพักตากอากาศเล็ก ๆ แบบพลัมเมอร์วิลล์ (PlummerVille) นี้
แท้จริงคือแหล่งซ่องสุม ของพวกลักลอบขนของเถื่อน และตำรวจกังฉิน
จากคำพูดของโอเดนเคิร์กเอง เมื่อสื่อต่างประเทศ (DiscussingFilm) สนทนาด้วยผ่าน Zoom ในนิวยอร์ก
เขาว่าใจความของ Nobody 2, คือเรื่องว่ามันยากเหลือเกิน สำหรับคน (ฝรั่ง) ยุคนี้ ที่จะได้พักร้อนแบบเต็มเหนี่ยว
“ผมชอบการต่อสู้ ที่ปรากฏบนจอ, แดเนียล เบิร์นฮาร์ดท์ เคี่ยวกรำผมใน Nobody และหวนกลับมาทำหน้าที่ ณ ภาค 2
ผมสนุกกับการ ใช้เวลากับเขา เรากลายเป็นเพื่อนกันแล้ว, เหมือนอีกหลาย ๆ คน รวมทั้งเกร็ก เรเมนเตอร์
ผมได้ทำความรู้จัก ชุมชนสตั๊นท์แมน, และแม้เคยขาดออกกำลัง แต่หลังฝึกเพื่อ Nobody ก็รู้จักวิธีขัดเกลาร่างกาย ที่หลากหลาย
การออกกำลังกาย ของคนส่วนใหญ่ มักประกอบด้วยชุดกิจกรรมซ้ำซาก สักสี่อย่าง, จนพวกเขาเบื่อหน่ายอย่างว่อง
แต่เมื่อคุณออกกำลังกาย และฝึกซ้อม เพื่อคิวบู๊ของหนังแอ็คชั่น
คุณก็ต้องตระเวนไป หลายสถานที่ทุกวัน, แถมมักไม่ได้ วนกลับมาที่เดิมซ้ำ
แล้วยังได้ประสบกับ มิตรภาพที่ดี ของพรรคพวกทีมงาน”
บ็อบ โอเดนเคิร์ก ยังคงต้องการให้ตัวละคร เข้าถึงได้
ระหว่างเตรียมตัวกลับมาเล่น Nobody 2, โอเดนเคิร์ก อยากให้ชัวร์ว่าผู้ชม จะยังคงรู้สึกเข้าถึงหัวอก ของพระเอกได้ง่าย
เหมือนอย่างที่ภาคแรก เขาพูดถึงมันไว้ว่า “มีความสมจริงและติดดิน, เหตุผลส่วนนึง คือเพราะมันสั่นพ้อง กับชีวิตจริงของผม
ผมหมายถึงเรื่องที่เคย ถูกงัดบ้านสองหน แล้วตำรวจบอกว่า ‘ถ้าเป็นผม คงไม่ทำงั้น’, หลังเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ว่าตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้”
ประสบการณ์ทางอารมณ์ที่เข้มข้นนี้ สะท้อนปรัชญาของภาคต่อ, ที่เปลี่ยนไปกล่าวถึง ความเครียดของคนสมัยนี้ (ในอเมริกา) เกี่ยวกับวัฒนธรรมบ้างาน
“สำหรับผม สิ่งสำคัญในภาคสองคือ: อะไรที่เป็นปัจจัยหนึ่ง ซึ่งสร้างความตึงเครียด แก่ความสัมพันธ์ของพวกคู่รัก ?
ปัจจัยนึงที่เป็นปัญหาใหญ่ ในเมกา หรืออาจทั่วโลก, คือการไม่สามารถ พักผ่อนให้สุดเหวี่ยง ต้องหอบงานไปทำด้วยบางส่วน หรือคอยกังวลเกี่ยวกับมัน
ผมว่านี่คือประสบการณ์ร่วม, คนในประเทศผม ดูจะมีแรงขับเคลื่อนสูง ซึ่งดีอยู่หรอก
แต่คุณก็ต้อง ให้เวลากับตัวเองบ้าง, อย่างที่ฮัทช์ทำไม่ได้ คนส่วนมากทำไม่ได้ ส่วนผมดิ้นรนเพื่อทำให้ได้”
Nobody 2 คือผลงานจากใจ ของโอเดนเคิร์ก
ตารางงานของโอเดนเคิร์ก แน่นขนัด ในช่วงไม่กี่ปีหลัง, สมัยถ่ายทำ Better Call Saul หกซีซั่น แถว ๆ กรกฎาคม ค.ศ. 2021
เขาเกิดอาการหัวใจวาย ต้องเข้าโรงพยาบาล, และการเผยแพร่ซีรีส์หยุดชะงัก เพื่อรอพระเอกพักฟื้น
ทว่าสำหรับ คนธรรมดานรกเรียกพี่ 2 เขามาพร้อมความกระฉับกระเฉง กว่าเก่าก่อน
โดยบอก DiscussingFilm ว่า ได้แสดงฉากเสี่ยงเอง, และทิ้งปัญหาสุขภาพ ไว้เบื้องหลัง
แม้มีฉากแอ็กชั่นอันรวดเร็ว และท่าต่อสู้แหวกแนว, แต่ Nobody ภาค 2 ก็กลั่นมาจากใจโอเดนเคิร์ก
การที่ฮัตช์เกิดมาจาก ประสบการณ์ที่เลวร้าย เป็นแรงจูงใจดีมากพอ ในการเรียกเขามารับบทเดิมต่อ
เท่านั้นไม่พอ เขาว่ายังมีประสบการณ์ชีวิตอื่นอีก ที่อยากถ่ายทอดผ่านหน้าจอ หากสบโอกาส (เช่นกับภาพยนตร์ภาค 3)
“ความจริงคือ Nobody เป็นผลงานที่มาจากใจ ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดที่ผมเคยทำ หลัง Mr.Show (รายการโทรทัศน์) มา
มันเหมือนสื่อกลางใช้ถ่ายเท ความรู้สึกที่เก็บไว้ แล้วไม่รู้จะไปปล่อยตรงไหน, ถ้าไม่ใช่ผ่านการแสดง และภาพยนตร์
ตัวละครได้มีเรื่องราวใหญ่ บนจอใหญ่, ที่ถึงไม่ใช่ของจริง แต่ผมสัมผัสอารมณ์กับความตึงเครียด ในโลกใบนั้นได้ ราวกับไปอยู่เอง
ผมเลยชอบติดตาม ชีวิตของฮัตช์ อยากสวมวิญญาณหมอนั่นซ้ำ
ผมต้องการให้เขา ประสบความสำเร็จ, แม้ว่าสุดท้าย ของท้ายที่สุด ไอ้หมอนี่คงจบเห่แหง”
หนังแอ็คชั่นฮ่องกงคลาสสิค คือสิ่งสร้างแรงบันดาลใจ แก่ Nobody 2
แม้บ็อบ โอเดนเคิร์ก มีมุมมองน่าหดหู่ ต่ออนาคตของฮัตช์, ผู้เป็นทั้งคนรักครอบครัว และ “ผู้ตรวจสอบ”
แต่ก็ยังมีความสนุก เกิดขึ้นมากมาย ภายในกองถ่าย, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากต่อสู้
ที่ทั้งโอเดนเคิร์ก, ผู้กำกับติโม จาห์ยันโต้ (Timo Tjahjanto), และทีมสตั๊นท์
ต่างพบแรงบันดาลใจจาก แฟรนไชส์ภาพยนตร์แอ๊คชั่นชื่อดัง ของฮ่องกง
ตัวอย่างเช่น ฉากที่ฮัตช์จัดการคู่ต่อสู้ ด้วยสไตล์อันเลอะเทอะ แต่เป็นเอกลักษณ์, โดยใช้เครื่องเล่นเกมอาร์เคดและคาร์นิวัล รอบตัวของเขา
“สำหรับการต่อสู้ที่งานรื่นเริง (เกมคาร์นิวัล) โดยใช้พวกอุปกรณ์ และเครื่องเล่นเกมอาร์เคด, หรือการพะบู๊บนเรือเป็ด
สิ่งเหล่านี้คืออะไรที่ผมมองว่า ใกล้เคียงสไตล์ของเฉินหลง มากสุดเท่าที่ตัวเองเคยทำ
เหตุผลนึงซึ่งทำให้ผม มาเล่น Nobody คือเพราะเคยดูวิ่งสู้ฟัด (Police Story) กับลูก ๆ
หนังเรื่องวิ่งสู้ฟัด ภาคแรกสุด มีความหมายกับผมมาก, สิ่งที่เฉินหลงนำเสนอ โดยเฉพาะในผลงานยุคแรก ๆ
คืออะไรที่ผมอยากเลียนแบบ ให้คล้ายที่สุด, ตอนที่ทำคิวบู๊สองฉาก ตามที่ว่าไป ในคนธรรมดานรกเรียกพี่ 2”
ที่มา: discussingfilm
COMMENTS