หัวหน้าของ Marvel Studios บอกกับเพื่อนร่วมงาน เมื่อไม่นานนี้, ว่าการไล่ดูรายการทีวี และภาพยนตร์ใหม่ ของยักษ์ใหญ่แห่งวงการหนังสือการ์ตูน ชั...
หัวหน้าของ Marvel Studios บอกกับเพื่อนร่วมงาน เมื่อไม่นานนี้, ว่าการไล่ดูรายการทีวี และภาพยนตร์ใหม่ ของยักษ์ใหญ่แห่งวงการหนังสือการ์ตูน
ชักรู้สึกเหมือนนักเรียน ต้องทำการบ้านส่งครู มากกว่าเป็นความบันเทิง, เข้าไปทุกที
เควิน ไฟกี ยอมรับว่าปัญหา อยู่ที่การพยายามตอบสนองต่อ ความต้องการเนื้อหาที่เพิ่มขึ้น, เพื่อเติมเต็มบริการสตรีมมิ่งใหม่ ของบริษัทแม่อย่าง Disney
จำนวนเนื้อหา Marvel Cinematic Universe (MCU) บน Disney+ ที่ล้นหลาม, ในที่สุดก็ทำให้ผู้ชม ยากจะตามทัน
สูบพลังงานของไฟกี และทีมงานของเขาจนหมด, ทำให้คุณภาพของผลงานลดลง
ส่งผลกระทบต่อ ยอดบ็อกซ์ออฟฟิศ ความนิยมในการสตรีม, รวมถึงลบภาพลักษณ์ที่เคย ไร้คู่ต่อกร เป็น 1 ในตำนานแห่งวัฒนธรรมป๊อป
ขณะนี้ไฟกี กำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลงภายใน เพื่อให้สตูดิโอกลับมาอยู่ใน เส้นทางที่ถูกต้อง
มาร์เวลเริ่มผลิตรายการทีวีน้อยลง และเรื่องที่เหลือได้ทำ ก็พยายามให้เป็นเอกเทศมากขึ้น (หมายถึงไม่จำเป็นต้อง รู้รอบเกี่ยวกับ MCU ก่อนดู)
ไฟกีมุ่งเน้นที่การ ปรับปรุงแผนงานภาพยนตร์ของสตูดิโอใหม่ หลังจาก “Captain America: Brave New World” ที่เข้าฉายกุมภาพันธ์ 2025, มันไม่ปัง
การทดสอบใหญ่ครั้งแรก ในการรีเซ็ตแผนงานของเขา มีขึ้นด้วย “Thunderbolts”
ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทีมฮีโร่ ที่รวมคนพัง ๆ ตัวละครระดับ C, มากอบกู้โลก
แม้รายได้ภาพยนตร์เรื่องนี้ อยู่อันดับท้าย ๆ ของบริษัท, แต่คำวิจารณ์ส่วนใหญ่ จัดว่าเป็นไปในแง่บวก
และแฟน ๆ ที่ชอบหนัง น่าจะอยากดู “The Fantastic Four: First Steps” ในเดือนกรกฎาคม
ที่เรื่องราวของภาพยนตร์ จะนำไปสู่ภาคต่อของ “Avengers” สองภาคในปี 2026 และ 2027
อย่างไรก็ตาม, Marvel จำเป็นต้องประสบความสำเร็จต่อเนื่อง เพื่อฟื้นคืนความรุ่งเรืองในอดีต
ไฟกีปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ (กับทาง Wall Street Journal) บทความนี้จึงอ้างอิง
จากการสัมภาษณ์ผู้คน มากกว่าสิบราย, ซึ่งเคยทำงานที่มาร์เวล หรือไม่ก็เคยทำธุรกิจ กับสตูดิโอดังกล่าว
ป่าป๊าไฟกี
ไฟกีวัย 51 ปี เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่า, เป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ ผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในฮอลลีวูดยุคใหม่
หลังจากเริ่มต้นโดยการเป็น ผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ของ “X-Men” แห่งค.ศ. 2000
เขาก็ได้รับการว่าจ้างจาก Marvel ในปีนั้น และก้าวขึ้นมาเป็น ผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย, ในทุกสิ่ง
ตั้งแต่บทภาพยนตร์ การคัดเลือกนักแสดง การตัดต่อ ยันการผลิตวิชวลเอฟเฟกต์
ภายใต้การชี้นำของเขา Marvel ได้เปิดตัวหนังที่ประสบความสำเร็จ หลายต่อหลายเรื่อง
เช่น “Iron Man” (2008), “Guardians of the Galaxy” (2014) และ “Black Panther” (2018)
ระหว่างนั้นเอง Marvel ก็ถูก Disney เข้าซื้อกิจการ, ด้วยมูลค่าถึง 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2009
ความว้าวที่สุดเจิด ได้แก่ “Avengers: Endgame” ของปี 2019, อันขมวดปมเนื้อเรื่อง และรวมตัวละครจากภาพยนตร์ ทั้ง 21 เรื่องก่อนหน้า
มันทำรายได้ 2.8 พันล้านเหรียญดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นสถิติสูงสุด แห่งเพลานั้น
ณ ช่วงรุ่งเรืองของ Marvel ในปี 2010, ไฟกีมีส่วนร่วมอย่างมาก ในการพัฒนาภาพยนตร์
เขาส่งผู้บริหารระดับล่าง ไปควบคุมการถ่ายทำ จากนั้นก็ลงมือตัดต่อเอง
โดยมักจะสั่งให้มีการสร้าง การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ๆ รวมทั้งกำหนดฉากใหม่
ผู้ช่วยเก่าแก่ของเขา ลูอิส เดสโปซิโต้ (Louis D'Esposito) มักพูดติดตลกว่า “เราแก้หนังได้ทุกเรื่องน่า ถ้ายอมถ่ายใหม่”
ไฟกีจึงประดุจดั่ง ป่าป๊าผู้ทรงเสน่ห์ และเป็นที่รักใคร่ของสตูดิโอ
เขาคืออัจฉริยะ ด้านความคิดสร้างสรรค์, ที่ทุกคนต่างถวิลหาความสนใจ อยากได้การยอมรับจากเขา
จะเอา, จะเอา MCU อีก
ไม่นานหลังจาก "Endgame" พวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายสร้างสรรค์ ก็เริ่มประชุมกัน, ในสำนักงานของพวกเขา บนที่ดินของสตูดิโอ Disney เพื่อหาแนวทางว่า MCU จะไปต่อเยี่ยงไร
ขณะที่ในอาคารบริหารใกล้เคียง ผู้บริหารระดับสูงของดิสนีย์ มีเป้าประสงค์อีกอย่างหนึ่ง
บ๊อบ ไอเกอร์ หัวหน้าฝ่ายบริหาร, กะว่าจะเปิดตัว Disney+ เพื่อคานอำนาจ Netflix
เขาต้องการซีรีส์ใหม่ ๆ มากมาย และหวังจะให้ Marvel ลำเลียงใส่สายพานมาส่ง
“กลยุทธ์นั้นเรียบง่าย แค่เพิ่ม เพิ่ม และเพิ่มปริมาณ” บุคคลผู้เคยทำงานที่ Marvel ในเวลานั้นกล่าว
เมื่อเร็ว ๆ นี้ไฟกี ชี้แจงเพื่อนร่วมงานว่า เขาตกลงกับแผนดังกล่าว
เนื่องจากตั้งใจจะเล่าเรื่องราวให้มากขึ้น และปรารถนาที่จะเป็น "พลเมืองตัวอย่าง ขององค์กร" ซึ่งนั่นก็กลายเป็นความผิดพลาด…
ซีรีส์ผจญภัยย้อนเวลาเรื่อง "Loki", และ "WandaVision" ซึ่งดำเนินเรื่องต่อจาก "Endgame" ในโลกซิทคอมเสียดสี ต่างได้รับความนิยมอย่างมาก
ทว่าการเปลี่ยนผ่านของ Marvel จากการผลิตเนื้อหาภาพยนตร์ เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อปี
ไปสู่รายการสตรีมมิ่ง และภาพยนตร์หลายสิบชั่วโมง, ที่สุดแล้วก็ทำให้ กระบวนการของสตูดิโอพัง
ผู้บริหาร 1 คู่ ดูแลแต่ละรายการ, ส่วนไฟกี ยังคงเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย ทุกประเด็นสำคัญด้านความคิดสร้างสรรค์
แม้ว่าปริมาณ สิ่งที่ต้องตัดสินใจ จะมากขึ้นอย่างทวีคูณในแต่ละวันก็ตาม
พนักงานที่ Marvel ในช่วงต้นปี 2020 กล่าวว่า, การหาเวลาให้ไฟกีเพียงพอ ที่จะรับคำชี้แนะจากเขา ถือเป็นความท้าทาย
บางครั้งพวกเขาใช้เวลาหลายสัปดาห์ ทำงานที่ปรากฏว่า มันไม่ใช่อะ, ภายหลังไฟกีบอก
จากนั้นก็พบว่าตนเองมีเวลาไม่มากพอ ที่จะดำเนินการตาม การเปลี่ยนแปลงของเขา, ก่อนกำหนดเส้นตาย
ทำให้เหล่าพนักงานที่สิ้นหวัง พึ่งพิงการวิ่งเข้าใส่ไฟกี ในห้องโถง ยามที่ต้องการคำตอบ
Marvel เป็นที่รู้จักมานาน ในฐานะสตูดิโอที่ประหยัดที่สุดแห่งหนึ่ง ของฮอลลีวูด
แต่ก็หันมา ใช้จ่ายเงินอย่างบ้าคลั่ง เช่นเดียวกับบริษัทสื่ออื่น ๆ, ที่เริ่มให้บริการสตรีมมิ่ง
ต้นทุนมิใช่ปัญหา ในการแข่งขันเพื่อสร้างความประทับใจ ให้กับตลาดหุ้น, ด้วยการเพิ่มจำนวนสมาชิกเยอะ ๆ
ซีรีส์ของ Marvel ที่สร้างช่วงต้นปี 2020 มักจะมีต้นทุนมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ต่อฤดูกาล และบางครั้งคือสูงถึง 200 ล้านดอลลาร์
เนื่องจากใช้งาน ดาราระดับเกรดเอ และเอฟเฟกต์ภาพ ที่ราคาแพงระยับ
ความเหนื่อยล้า ต่อมาร์เวล
ความผิดปกติภายใน เริ่มส่งผลต่อภายนอก, มันปรากฏให้เห็น บนตัวผลงานของ Marvel
ผู้ชมบ่นว่ามีคอนเทนท์ MCU มากเกินไปจนตามไม่ทัน และเนื้อหาส่วนใหญ่ ก็ดูด้อยกว่ามาตรฐานดั้งเดิม
“ฉันรักมันมาตลอดหลายปี แต่หลังจากตามดูรายการทีวีและทุกอย่าง มันชักสับสน และไม่ค่อยปะติดปะต่อ” เลสลี โรดริเกซ ผู้จัดการโซเชียลมีเดียวัย 23 ปีกล่าว
ซีรีส์ดราม่าทุนสูง เกี่ยวกับการโจมตีของมนุษย์ต่างดาวเรื่อง “Secret Invasion” อันนำแสดงโดย ซามูเอล แอล. แจ๊คสัน, ถูกแฟน ๆ ปฏิเสธ
ซีรีส์ที่บริษัทภูมิใจ เช่น “Ms. Marvel” ซึ่งเกี่ยวกับวัยรุ่น ชาวอเมริกันเชื้อสายปากีสถาน ผู้ได้รับพลังพิเศษ, ไม่สามารถดึงดูดผู้ชมได้มากนัก
ในโรงภาพยนตร์ หนังประสบความสำเร็จสูงหลัง ๆ คือที่ผูกโยงเรื่องราวเก่า ๆ แบบ “Spider-Man: No Way Home” หรือ “Deadpool & Wolverine”
ส่วน “Ant-Man and the Wasp: Quantumania” ที่ควรสำคัญต่ออนาคตของ MCU
เนื่องจากเปิดตัว ตัวร้ายหลักของ Avengers ภาคที่วางแผนไว้ให้มีชื่อว่า “The Kang Dynasty”, กลับล้มเหลวบนบ็อกซ์ออฟฟิศ และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
พนักงานพูดคุยกันเป็นประจำเกี่ยวกับ “ความเหนื่อยล้าต่อ Marvel”, พวกเขากังวลว่าได้สร้าง "สโมสรที่ไม่ต้อนรับ สมาชิกใหม่" ขึ้นมา
ประมาณว่า ผู้คนที่ไม่คุ้นเคยกับ MCU จะไม่สามารถรับชมคอนเทนท์ ที่ออกฉายใหม่ได้, เนื่องจากพวกเขาไม่มีทางรู้เลย ว่ามันเกิดอันใดขึ้น
ในขณะเดียวกัน ความหลงใหลของตลาดหุ้น ที่มีต่อการเติบโตของสตรีมมิง ได้แปรผันสู่การเน้นที่ผลกำไร
ไอเกอร์และไฟกี เริ่มตรวจสอบต้นทุนผลิต และพินิจทางเลือกด้านสร้างสรรค์ผลงาน ของ Marvel, อย่างใกล้ชิดขึ้น
จนตัดสินใจวินาทีสุดท้าย ว่าบทภาพยนตร์แวมไพร์เรื่อง "Blade" ไม่ดีพอ
และสั่งหยุดการผลิตตอนปี 2023 หว่างที่อุปกรณ์กำลังถูกส่งไปยัง ห้องบันทึกเสียงในแอตแลนตา…
หลัง “Quantumania” คว่ำ ไฟกีพยายามมีส่วนร่วมกับ The Marvels มากขึ้น (จากที่ก่อนหน้าแทบไม่ได้ยุ่ง), แต่ผลลัพธ์ยังคง คือความพัง
ดูม (Doom) ต้องมาเยือน
ตั้งแต่สมัยปีแรก ๆ ของ Marvel, ทีมงานของไฟกี จะไปพักผ่อนทุกฤดูใบไม้ร่วง
แถวปาล์มสปริงส์ แคลิฟอร์เนีย, แล้ววางแผนอนาคตของ MCU
ทว่าการพบปะกัน ในปี 2023 นั้น บรรยากาศน่าหดหู่
ภาพยนตร์และรายการทีวีของ Marvel หลายเรื่อง ไม่ติดตลาด
สตูดิโอเพิ่ง เลิกจ้างพนักงาน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ทีมงานหารือกันว่า พวกเขาสามารถกอบกู้ แผนสำหรับ “Avengers: The Kang Dynasty” ได้ฤๅไม่
พวกเขายังได้พูด ถึงกลยุทธ์ทางทีวีแบบใหม่, ที่รายการต่าง ๆ
จะมีเนื้อเรื่องอัน อิสระจาก MCU เรื่องอื่น, เพื่อให้แฟน ๆ หน้าใหม่เข้าใจง่ายขึ้น
บริษัทตัดสินใจ ที่จะลดการผลิต รายการโทรทัศน์ ลงอย่างมาก
"ปริมาณ ในกรณีของเรา, ลดทอนคุณภาพ—และ Marvel ได้รับผลกระทบหนัก จากเรื่องนี้"
ไอเกอร์เคยกล่าว กลางงาน Dealbook summit ของ New York Times, พฤศจิกายนปีนั้น
ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป, Marvel จะปล่อยซีรีส์คนแสดง เพียง 1-2 เรื่องต่อปี
และได้สั่งทำ ละครบางชุดล่วงหน้า หลาย ๆ ซีซั่น
เพื่อให้เรื่องราวต่าง ๆ ดำเนินต่อไปได้ โดยไม่ต้องข้ามไปหาหนังใหญ่
ผู้บริหารระดับสูง จะดูแลฝั่งโทรทัศน์ให้, เพื่อไฟกีจะสามารถ มุ่งความสนใจไปที่ภาพยนตร์
สิ่งสำคัญที่สุดของ Marvel คือทำให้แน่ใจว่า, Avengers สองเรื่องต่อไป จะทำเงินให้แฟรนไชส์
ในช่วงต้นปี 2024 ผู้บริหารตัดสินใจ เลิกจ้างแคง (Kang)
และระดมความคิดว่า ใครเหมาะเป็นตัวร้าย สำหรับทีมซูเปอร์ฮีโร่ชุดต่อไป, ยิ่งกว่าหมอนั่น
ไฟกีได้สนทนากับ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์, ผู้รับบทไอรอนแมน และเป็นที่รักของแฟน ๆ
เกี่ยวกับการกลับมาสู่ MCU, เป็นเวลามากกว่า 1 ปี
พวกเขาได้พูดคุยกัน ถึงเรื่องรับบทดร.ดูม, 1 ในวายร้ายสายคอมมิค ที่โด่งดังสูงสุด
แต่พวกเขาเปล่ากำหนด ว่าควรเมื่อใด หรือในภาพยนตร์เรื่องไหน
ผู้บริหารของ Marvel สรุปว่า ดาวนีย์คือทางออก, สำหรับปัญหาเรื่อง Avengers ของพวกเขา
พวกเขาเปลี่ยนชื่อภาพยนตร์ ที่จะออกฉายปี 2026 สู่ “Avengers: Doomsday”
โดยให้ ดาราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเค้า เข้ารับบทนำ
นอกจากนี้ ไฟกียังเรียก ผู้กำกับแอนโธนี่ และโจ รุสโซ ที่เคยทำ “Avengers: Endgame” กลับมา
การนำผู้มีความสามารถ เบื้องหลังภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ กลับมาสร้างภาคต่อ
ถือเป็นข้อเสนอ ราคาแพงที่สุดอย่างหนึ่ง ในฮอลลีวูด
แต่ผู้คนที่เคยร่วมงานกับไฟกี บอกว่าเขาชอบกลับไปหา คนที่ไว้เนื้อเชื่อใจ ในช่วงเวลาเร่งด่วน
เพื่อให้แฟน ๆ ตื่นเต้นกับแผนใหม่นี้, Marvel จึงให้ดาวนีย์
ถอดหน้ากาก Dr. Doom ออก และเปิดตัวกลางงาน San Diego Comic-Con ค.ศ. 2024
ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว ก็กลายเป็นข่าวที่แพร่ไว ดั่งไฟลามทุ่ง (ทางออนไลน์) ทันที
เรียกว่าในหลาย ๆ ด้าน, Marvel หวนคืนสู่ การใช้กลยุทธ์เดิม ๆ
ก่อนเกิด กระแสสตรีมมิ่ง, ราวกับว่าห้าปีที่ผ่านมา เป็นแค่ฝันร้าย
และเช่นเดียวกับ ตอนที่ Marvel Studios เริ่มต้นขึ้น
ไฟกีมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล สำหรับอนาคตของบริษัท บนหน้าจอขนาดใหญ่
ภาพยนตร์ Avengers ที่กำลังจะเข้าฉาย คาดว่าคงนำ X-Men
อันเป็น 1 ในทีมซูเปอร์ฮีโร่ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของ Marvel เข้าสู่ MCU
และไฟกีก็บอก กับเพื่อนร่วมงานว่า, เขามีแผนล่วงหน้า 10 ปี สำหรับตัวละครพวกนี้แล้ว
ที่มา: Wall Street Journal
COMMENTS