สมัยเล็กหน่อยเคยดูไตรภาค Episode IV-VI แบบไม่เข้าใจโลกของมันอะไร รู้แค่เป็นหนังเก่า แต่ด้วยความสนุกหรือเสน่ห์เฉพาะตัวบางอย่าง ก็เหมือนโดนล้...
สมัยเล็กหน่อยเคยดูไตรภาค Episode IV-VI แบบไม่เข้าใจโลกของมันอะไร รู้แค่เป็นหนังเก่า
แต่ด้วยความสนุกหรือเสน่ห์เฉพาะตัวบางอย่าง ก็เหมือนโดนล้างสมองให้ดูซ้ำเรื่อยๆ จนถึงระดับภาคละ 10 รอบ
ซึ่งนี่คงไม่ถือว่ามากหรอก ถ้าเทียบกับคนที่เค้าชอบสตาร์วอร์สจริงๆ ยิ่งกว่าสิ่งใด
พอโตขึ้นมาอีกหน่อยทันช่วงไตรภาค Episode I-III ทยอยเข้าโรงตามลำดับการฉายจริง ก็มีโอกาสตรงดิ่งเข้าโรงภาพยนตร์ดูทั้ง 3 ภาคพร้อมครอบครัว ยอมรับว่ามันน่าเบื่อกว่าเดิมหน่อย
ซึ่งเท่าที่จำได้ก่อน Ep.1 ฉาย รายการโทรทัศน์ช่องนึงเสนอข่าวบันเทิงเชิงกังขา ว่า Star Wars ที่ขายความตื่นตา จะยังประสบความสำเร็จอีกหรือไม่
เพราะในยุคดังกล่าวเทคนิคพิเศษของโลกภาพยนตร์
พัฒนาไปไกลกว่าช่วงไตรภาคของลุค สกายวอล์คเกอร์พอตัว
จนสตาร์วอร์สไม่เหนือล้ำกว่าชาวบ้านแล้ว
ยุคนั้นภาพยนตร์โดนติหลายอย่าง เช่น นักแสดงบางคนแค่บุคลิกเข้ากับบทแต่ขาดฝีมือ, หนังไม่สนุกเท่าชุดเก่า, จอร์จ ลูคัส เมาซีจีเอาแต่ถ่ายทำบนฉากหลังสีเขียว (Green Screen) หรือเจ้าจาร์ จาร์ บิงส์ ที่ถูกยี้เข้าขั้นสุด
แต่ผลลัพธ์คือทั้ง 3 ภาคยังประสบความสำเร็จด้านรายได้อยู่ดี
และเมื่อเวลาผ่านเลยเนิ่นนาน เสียงติฉินนินทา Episode I-III ก็ค่อยๆ จางลงไป
พอถึงคราวรับชม The Force Awakens ผมสนุกกับมัน และหลังออกจากโรงมาพิจารณาย้อนหลังก็มิได้มีสิ่งใดขัดใจ
ภาพยนตร์ขาดความสดใหม่ แต่ข้อเสียนี้ไม่หนักหนาอะไร รอดูภาคหน้าน่า คงมีอะไรใหม่ๆ เยอะขึ้น
ถัดมา The Last Jedi, งานนี้ฉีกแนวเต็มกำลัง เล่นเอาระหว่างรับชมครั้งแรกนี่ดูไปหงุดหงิดไป โดยเฉพาะลุค สกายวอล์คเกอร์ ที่แทบไม่เหลือสภาพวีรบุรุษในตำนาน
แต่พอใช้เวลาตรึกตรองและใคร่ครวญเกี่ยวกับมันดีๆ ทีหลัง เพียงข้ามวันก็เริ่มประทับใจในหลายสิ่งที่ผู้สร้างพยายามนำเสนอ
สำหรับ The Rise of Skywalker ความรู้สึกที่มีต่อมัน กลายเป็นอะไรที่ไม่เคยเจอะเจอมาก่อนในชีวิต
ไม่ว่าจะจากภาพยนตร์เรื่องอื่นของ Star Wars (รวมทั้งภาคแยก)
หรือแม้กระทั่ง 'ภาพยนตร์คนแสดงของฮอลลีวูด' เรื่องอื่นใด ที่เคยยลด้วยสายตาตนเอง
เดี๋ยวจะหาว่าปูมาซะเวอร์ ทำนองเกิดมาไม่เคยเจอหนังแบบนี้
นี่คือจะด่าหนังห่วยบรมโลกไม่อยากจำ
หรือชมว่าทำออกมาดีขนาดชีวิตที่เหลือของกระผม คงมิอาจปลาบปลื้มต่อภาพยนตร์เรื่องใดได้มากกว่านี้อีกหรือกระไร ?
ไม่ใช่ทั้ง 2 อย่างแหละ และถ้าจะให้สรุปคือ "มันเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นบางเรื่อง"
ซึ่งไม่เคยนึกเคยฝันเลยสักนิด ว่าผู้สร้างภาพยนตร์คนแสดงของฮอลลีวูดจะกล้าทำ
ยังกับเขาคิดว่าจะปิดท้ายตำนานทั้งที งานนี้ทำเหมือนคนดมกาว ปล่อยของตามจินตนาการให้ดูเพ้อเจ้อ
เพื่อจบแบบอลังการดาวล้านดวงหน่อยละกัน จะได้สมศักดิ์ศรีเรื่องราวระดับมหากาพย์
คงไม่ใช่ทุกคนที่ตามดู Star Wars หรือภาพยนตร์ฮอลลีวูดประจำ จะเคยเสพงานบันเทิงฝั่งแดนปลาดิบประจำด้วย
จึงขอชี้แจงว่า สูตรนำเสนอแบบหนึ่งของการ์ตูนต่อสู้ญี่ปุ่นจำนวนนึง ที่เนื้อเรื่องยาวๆ
คือหลังจากตัวเอกผ่านประสบการณ์มากมาย และได้พบกับผู้คนหลากหลายระหว่างการผจญภัย
ในช่วงสุดท้ายตัวร้ายระดับบอสโคตรโหดหิน จนพวกพระเอกไม่มีทางโค่นลงไหวจะโผล่มา
เวลานี้แหละที่เหล่าผู้คนมากหน้าหลายตาทั่วทุกสารทิศ จะนัดรวมพลกันมาช่วยเหลือ
ส่วนตัวเอกก็ปลุกพลังที่สูงล้ำกว่าเดิมแบบก้าวกระโดดมาใช้ ซึ่งเขาได้รับจากผู้คนเหล่านั้น (หรือจากเทือกเถาเหล่ากอบรรพบุรุษอะไรก็ว่าไป) มาใช้ปราบบอสโคตรโหดลง
ก่อนจะจิกกัดต่อ ขอย้อนกลับไปชื่นชมบรรดาข้อดีของภาคนี้
เนื้อหาก่อนเข้าศึกสุดท้าย ค่อนข้างได้บรรยากาศหนังสตาร์วอร์สดั้งเดิมมาก
ตัวอย่างเช่น การเปิดเรื่องแบบงงๆ ด้วยการบอกไว้ในตัวอักษรลอยอวกาศโต้งๆ ว่า 'จักรพรรดิกลับมาแล้วนะจ๊ะ'
โดยมิยอมให้เห็นฉากประกาศศักดา ว่าข้ากลับมาละของเขาในหนัง
และเริ่มเข้าเรื่องตรงฉากของไคโล เรน บุกดาวดวงหนึ่งเพื่อหาเข็มทิศนำทางสู่เอ็กเซอกอล (Exegol) ทันที
เหมือนคราว Return of the Jedi บอกตรงตัวอักษรก่อนเริ่มเรื่อง ว่าเดธสตาร์ดวงที่ 2 อยู่ระหว่างก่อสร้าง
เสร็จละไคโล เรนก็รี่ตรงดิ่งไปเจอซีเดียสที่เคลมว่า 'ปัจฉิมภาคี' (Final Order) ของข้ายิ่งใหญ่กว่าปฐมภาคีนัก, สโนคน่ะแค่ร่างสังเคราะห์ คือตัวร้ายระดับรองๆ
ฉะนั้นเอ็งลองคิดดูดีๆ ก่อนจะแหยม และมาอยู่ใต้อาณัติข้าซะ
เฮ้ย! จักรพรรดิอวดโอ่ได้อารมณ์บอสใหญ่มาก แถมอธิบายเรื่องสโนคสั้นๆ แต่ได้ใจความ ไม่ขัดกับ The Last Jedi เกินงามด้วย
ฉากโพพามิลเลนเนียมฟัลคอนโดดข้ามมิติไฮเปอร์สเปซอย่างบ้าคลั่งถือว่าได้ใจ
ทว่าส่วนแรกที่ขัดใจระหว่างดูสำหรับภาคนี้ คือฉากเรย์ฝึกภายใต้การชี้แนะของเลอา
ปัดโธ่คุณพี่ครับ, ไม่ใช่ทุกคนตามจักรวาลขยายเลยรู้นะ ว่าเลอาเคยฝึกฝนวิถีเจไดกะลุคด้วย
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นข้อเสียอย่างที่คาดตอนกำลังรับชม เพราะเขาปล่อยฉากฝึกให้ยลอีกที ตอนที่ลุค สกายวอล์คเกอร์รำลึกความหลังกะเรย์
ภาพยนตร์ภาคนี้มีโอกาสเห็น 3 สหายฟินน์, โพ, เรย์ ผจญภัยร่วมกัน สมดังใจหมายสักที
ความสมเหตุสมผลเรื่องเล็กน้อยต่างๆ ภายในท้องเรื่องไม่ต้องใส่ใจ, หนัง Star Wars แบบดั้งเดิมอารมณ์นี้อยู่แล้ว
The Rise of Skywalker ผลักโรสไปเป็นตัวประกอบไม่มีปัญหา
เพราะดูแล้วยังเด่นกว่าตัวประกอบอื่นๆ อีกหลายคน
ไหนจะบทพูดกับกิ๊กเก่าของโพ ที่อธิบายว่าทำไมคนทั้งกาแล็คซี่ไม่ยอมช่วยฝ่ายต่อต้านยามคับขันสุดขีด
และการเฉลยว่าเรย์เกี่ยวข้องกับพัลพาทีน ไม่ใช่สายตระกูลมาจากคนธรรมดาเฉยๆ
ก็ไม่ขัดใจสำหรับผม เพราะบท The Last Jedi มันเปิดช่องให้แถเพิ่มตรงนี้ไหว
คนอื่นว่าไง ตามใจไม่เสียหาย, แต่ตัวผมเองมองว่าโครงเรื่องทั้งของ The Last Jedi และของ The Rise of Skywalker ถูกวางไว้ลักษณะนี้ตั้งแต่แรก ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงขนาดบทดั้งเดิมเป็นหนังคนละเรื่องกับที่เราได้ดูกัน
อย่างไรก็ตาม The Last Jedi น่าจะเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับโรส และเปลี่ยนองค์ประกอบปลีกย่อยอีกหลายอย่าง (เช่น ภาพลักษณ์ลุค, ฉากขับยานชนยานด้วยความเร็วแสง หรือฉากไคลแมกซ์ที่ความจริงควรมีกำลังเสริมมาช่วยฝ่ายต่อต้าน)
เหมือนผู้กำกับไรอัน จอห์นสัน เล็งว่าจะ 'ตีความ' สตาร์วอร์สใหม่ยังไง แล้วดึงทิศทางของหนังให้เปลี่ยนตามวิสัยทัศน์ของเขา ภายใต้ความเห็นชอบ (หรือบงการ ?) ของบอสใหญ่อย่างอาเจ๊แคธลีน เคนเนดี้
เนื่องจากบทของ The Rise of Skywalker แถให้เหตุการณ์ใน Last Jedi กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องยาวได้หมด
(ต่อให้เจ.เจ.อับรามส์ทำเองครบไตรภาค ผมว่าสโนคน่าจะตายดื้อๆ มึนๆ คือกัน
แค่เรื่องเรย์เป็นลูกหลานใคร จะเฉลยในช่วงก่อนจบของ The Last Jedi แทน)
เอาละ หลังจากสาธยายความปลาบปลื้มต่อตัวหนังบางส่วนเรียบร้อย
คราวนี้ขอไล่เรียงเหตุขัดใจ หนังเริ่มนำเสนออะไรขัดหูขัดตาอีกทีตอนบทไคโล เรน กลับตัว
ซึ่งไม่หงุดหงิดอะไรกับการพลิกบทสู่ด้านสว่าง+โยนกระบี่กางเขนแดงทิ้ง ของหมอนี่
แต่ที่จู่ๆ วิญญาณฮาน โซโล โผล่มาคุยโดยมิใช่รูปแบบผีพลัง (Force Ghost) หรือต่อให้ใช่ก็เหอะ มันเป็นไปไม่ได้ทั้งสองทางรึเปล่าฟะ ?
เอาเหอะมองข้ามไป, เบน โซโล อาจคุยกับภาพหลอนจากจิตใต้สำนึกของเขา
มันมาเริ่มขัดใจจริงๆ คือตอนที่พบว่า เอ็กเซอกอลซึ่งภาพลักษณ์คือแดนลับแลเข้าถึงยาก ดันมีทรัพยากรมหาศาลขนาดสร้างกองทัพยิ่งใหญ่ได้ขนาดนั้น
ไม่จำเป็นมั้งครับท่าน ? จะให้ดูเยอะแยะบานเบอะถึงหลักร้อยไปใย ?
แค่ยานสตาร์เดสทรอยเยอร์หลายสิบลำ ติดอาวุธทำลายดาวกันหมดนี่ก็น่าหวาดหวั่นพอแล้วเหอะ
หรือกลัวฉากคนทั่วกาแล็คซี่ยกพลมาช่วยฝ่ายต่อต้านจะไม่ขลัง
ส่วนท่านจักรพรรดิผู้เปิดตัวต่อหน้าหลานสาวพร้อมกองเชียร์จำนวนมหาศาล
แทนที่จะสละเวลามาบอกคนดูให้รู้ว่ารอดตายอีท่าไหน เพื่อคลายความสงสัยสักประโยค
เช่น สาวกกลุ่มนึงช่างภักดีช่วยข้าไว้ หรือหลังข้าใช้พลังเกาะท่อจนรอดหวุดหวิด
คราวนี้จะให้ชัวร์ว่าคนทั่วกาแล็คซี่แห่งนั้นต้องชดใช้พร้อมพวกสกายวอล์คเกอร์ ก็ว่าไปสิ
ไฉนจึงพล่ามเรื่องหลานเอ๊ย ฆ่าข้าและขึ้นเป็นจักรพรรดินีซ้ำๆ อยู่นั่น จงใจไม่เฉลยว่ารอดยังไงให้กระจ่างนี่หว่า...
เรื่องกลุ่มอัศวินแห่งเรน (Knights of Ren) ไม่ค่อยมีบทบาทสำคัญ คล้ายกับโผล่มาบริการแฟนบอยที่เห็นว่าพวกนี้เท่
แถมยังโดนเบน โซโล โซโล่คนเดียวกวาดยกแก๊งค์ ผมไม่ผิดหวังหรอก
เพราะตอน The Force Awakens โผล่นิดเดียว และใน The Last Jedi ไม่มีบทสักแอะ เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาแคร์พวกนี้มากมาย
แค่หงุดหงิดเล็กน้อยที่ไม่ยอมบอกความเป็นมาไว้สักประโยค (เหมือนอีตาจักรพรรดิ)
แต่ให้ตายเถอะ จงใจโชว์วิธีใช้พลังรูปแบบใหม่เกินไปนิดมั้ย ? เพราะถึงเบน โซโลกลับใจ
ใช่ว่าจะต้องรีบโยนกระบี่กางเขนแดงทิ้ง จนไร้ไลท์เซเบอร์ติดตัวก่อนเจอพวกอัศวินแห่งเรนสักหน่อย
พอเรย์กับเบนเผชิญหน้าจักรพรรดิร่วมกัน การใช้พลังเวอร์วังเป็นการ์ตูนพลันเริ่มต้น
พัลพาทีนดูดพลังทั้ง 2 คนมารักษาร่างกายตน จนฟื้นฟูกำลังวังชากลับมาฟิตปั๋งเกิน 100 %
ถึงกับอุทานในใจว่า, เฮ้ย! พลังรักษามันเทพได้ถึงขั้นนั้นเชียว
แต่นั่นยังไม่พอหรอก เพราะท่านจักรพรรดิปล่อยสายฟ้าโคตรโหดจากมือ 2 ข้าง
ระดับสูงขนาดฟาดแปลบปลาบเพียงครั้งเดียว ทำยานรบจำนวนมากหยุดกึกกลางอากาศเฉย
เบนโดนซัดตกนอกเวที เหลือเรย์สู้ซีเดียสคนเดียว ท่าทางงานนี้จบเห่แหง
เรย์จะงัดอะไรออกมาสู้ได้อีกฟะ ? ทันใดนั้นวิญญาณเจไดทุกรุ่นที่ผ่านมาส่งพลังเข้าช่วยเหลือ
หล่อนคว้าไลท์เซเบอร์สู่มือทั้ง 2 ข้าง แล้วใช้ 'พลังมิตรภาพ' ของเจไดหลายเจเนอเรชั่นมาจัดการเจ้าคุณปู่ อย่างกับในการ์ตูนญี่ปุ่นยังไงยังงั้น
กองเชียร์มหาศาลของพัลพาทีนก็ซวยชิบเป๋ง เจอลูกหลงจากการปะทะกันของพลังรวมรุ่นแห่งซิธและเจได บวกกับสิ่งก่อสร้างถล่มลงมาทับจนตายเพื่อ 'ตัดบท' กันหมด
ด้านปลายทางความรักของเรย์กับเบน จะจบแบบที่เห็นก็โอเค
ส่วนฉากจบที่เรย์เลือกใช้นามสกุลของลุค+เลอา/อาจารย์ทั้ง 2 คนของหล่อน นี่ค่อนข้างชอบมาก
ที่ต้องร่ายความรู้สึกตอนดูตามฉากโน้นฉากนี้อยู่นั่น ไม่ใช่อยากมาแชร์ความผิดหวัง หรือประทับใจในทางใดทางหนึ่งต่อตัวผลงาน
แต่ต้องการทำให้กระจ่างว่าความรู้สึกต่อ The Rise of Skywalker ของผมมันผสมปนเประหว่างความสุขสมใจกับความผิดหวัง ซะตีกันมั่วไปหมดเพียงใด
บางคนอาจแย้งว่าเวอร์ตรงไหน เทียบกับการ์ตูนญี่ปุ่นทำไม ?
เสกลพลังระดับนี้จิ๊บๆ หากเนื้อหาจักรวาลขยายยุค Legends (ก่อนจอร์จ ลูคัสขายกิจการ) ยังไม่โดนดิสนีย์ตัดออก
การรวมพลังคนทั่วกาแล็คซี่หรือรวมพลังเจไดหลายรุ่นเพื่อสมรภูมิสุดท้าย มันสมเหตุสมผล คนฝั่งตะวันตกคิดเองได้ไม่ใช่เลียนแบบชาวญี่ปุ่นหรอก
ก็อยากบอกว่าไม่ใช่เลียนแบบ แค่ลักษณะศึกสุดท้ายมันคล้ายอารมณ์ที่ผมเคยเจอตามการ์ตูนฝั่งตะวันออกมากกว่า (ความรู้สึกส่วนตัวนั่นแหละ)
ส่วนเสกลพลังนี่ไฉนต้องค่อนแคะว่ามันกาว ? ทุกอย่างเค้ามีเหตุผลรองรับ
- พลังเชื่อมสัมพันธ์เรย์-เบนปูทางมาดี อันนี้ยกเว้น ผมไม่ได้ว่าอะไรถ้าจะส่งกระบี่ข้ามมิติ
- แต่พลังรักษาเพิ่งเปิดตัวภาคนี้ และจำได้ว่าเรย์ใช้ให้เห็นก่อนพัลพาทีนแค่ 2 ครั้ง ซึ่งการรักษาแผลมันคนละระดับกับที่พัลพาทีนฟื้นสภาพร่างกายเลยนะ มันโดดเกินไป (เรย์กับเบนควรถูกดูดพลังชีวิตมากจนตายคาที่ทั้งคู่ด้วยซ้ำ)
- สายฟ้าฟาดหยุดยานนับร้อยของจักรพรรดินี่ก็เข้าใจ ว่าคือรวมพลังซิธหลายรุ่น แถมบรรยากาศเฉพาะของเอ็กเซอกอลเอื้ออำนวยต่อการใช้พลังด้านมืด
แต่ให้ตายเถอะ, ผมชอบจักรวาลขยายยุค Canon ของดิสนีย์ตรงที่คุมเสกลพลังดีกว่า Legends นะ
แล้วไหงจู่ๆ ตัวละครหลักดันใช้พลังที่ระดับความรุนแรงโดดจากหนังทั้ง 8 ภาคก่อนเอาตอนนี้
โดยมีแค่คำอธิบายเสริมบ้าง ทว่าขาดการปูทางขยับความโหดของการใช้พลังมาเป็นลำดับล่วงหน้าละ ?
ต่อให้เจ.เจ.อับรามส์เขียนบท+กำกับ The Last Jedi ด้วย ผมก็ว่าไม่ช่วยลดความโดดของระดับพลังที่ภาคนี้นำเสนอนักหรอก
โดดขนาดนี้มันควรกลับไปทำ Episode VI รีเมค ให้ลุคปลุกพลังเจ๋งๆ มาตบจักรพรรดิเองไม่ต้องพึ่งพ่อ
แล้วเรย์โชว์พลังที่เหนือกว่านั้นตั้งแต่ Episode VII ด้วยซ้ำ ถึงจะกลบความห่างราวฟ้ากับเหวนี่ไหว
[สรุป] The Rise of Skywalker มีหลายจุดประทับใจ อารมณ์ของภาพยนตร์เหมือนภาคต่อของ The Force Awakens มากกว่า ทว่าไม่มองข้าม The Last Jedi
อย่างไรก็ตาม ความบกพร่องหลักๆ ของมันคือการ [พยายามเล่นใหญ่] เพื่อให้สมศักดิ์ศรีภาคจบมหากาพย์
จนปัจฉิมภาคีดูการ์ตูนจ๋า หรือระดับการใช้พลัง (The Force) กระโดดมากเกินไป
โดยหลงลืมว่าภาพยนตร์ 8 ภาคก่อนหน้าเป็นอย่างไร
หรือ Return of the Jedi เคยทำให้ผู้คนประทับใจแค่ไหน ทั้งที่พระเอกแบบลุค สกายวอล์คเกอร์มิได้เรียกพลังเจไดหลายชั่วรุ่นมาใช้เอาชนะจักรพรรดิ
แต่แค่ยืนหยัดในความดี, เชื่อมั่นในตัวบิดา รวมถึงเชื่อใจพวกพ้องของเขา ไม่ว่าสถานการณ์จะชวนสิ้นหวังเพียงไหน
แต่ด้วยความสนุกหรือเสน่ห์เฉพาะตัวบางอย่าง ก็เหมือนโดนล้างสมองให้ดูซ้ำเรื่อยๆ จนถึงระดับภาคละ 10 รอบ
ซึ่งนี่คงไม่ถือว่ามากหรอก ถ้าเทียบกับคนที่เค้าชอบสตาร์วอร์สจริงๆ ยิ่งกว่าสิ่งใด
พอโตขึ้นมาอีกหน่อยทันช่วงไตรภาค Episode I-III ทยอยเข้าโรงตามลำดับการฉายจริง ก็มีโอกาสตรงดิ่งเข้าโรงภาพยนตร์ดูทั้ง 3 ภาคพร้อมครอบครัว ยอมรับว่ามันน่าเบื่อกว่าเดิมหน่อย
ซึ่งเท่าที่จำได้ก่อน Ep.1 ฉาย รายการโทรทัศน์ช่องนึงเสนอข่าวบันเทิงเชิงกังขา ว่า Star Wars ที่ขายความตื่นตา จะยังประสบความสำเร็จอีกหรือไม่
เพราะในยุคดังกล่าวเทคนิคพิเศษของโลกภาพยนตร์
พัฒนาไปไกลกว่าช่วงไตรภาคของลุค สกายวอล์คเกอร์พอตัว
จนสตาร์วอร์สไม่เหนือล้ำกว่าชาวบ้านแล้ว
ยุคนั้นภาพยนตร์โดนติหลายอย่าง เช่น นักแสดงบางคนแค่บุคลิกเข้ากับบทแต่ขาดฝีมือ, หนังไม่สนุกเท่าชุดเก่า, จอร์จ ลูคัส เมาซีจีเอาแต่ถ่ายทำบนฉากหลังสีเขียว (Green Screen) หรือเจ้าจาร์ จาร์ บิงส์ ที่ถูกยี้เข้าขั้นสุด
แต่ผลลัพธ์คือทั้ง 3 ภาคยังประสบความสำเร็จด้านรายได้อยู่ดี
และเมื่อเวลาผ่านเลยเนิ่นนาน เสียงติฉินนินทา Episode I-III ก็ค่อยๆ จางลงไป
พอถึงคราวรับชม The Force Awakens ผมสนุกกับมัน และหลังออกจากโรงมาพิจารณาย้อนหลังก็มิได้มีสิ่งใดขัดใจ
ภาพยนตร์ขาดความสดใหม่ แต่ข้อเสียนี้ไม่หนักหนาอะไร รอดูภาคหน้าน่า คงมีอะไรใหม่ๆ เยอะขึ้น
ถัดมา The Last Jedi, งานนี้ฉีกแนวเต็มกำลัง เล่นเอาระหว่างรับชมครั้งแรกนี่ดูไปหงุดหงิดไป โดยเฉพาะลุค สกายวอล์คเกอร์ ที่แทบไม่เหลือสภาพวีรบุรุษในตำนาน
แต่พอใช้เวลาตรึกตรองและใคร่ครวญเกี่ยวกับมันดีๆ ทีหลัง เพียงข้ามวันก็เริ่มประทับใจในหลายสิ่งที่ผู้สร้างพยายามนำเสนอ
สำหรับ The Rise of Skywalker ความรู้สึกที่มีต่อมัน กลายเป็นอะไรที่ไม่เคยเจอะเจอมาก่อนในชีวิต
ไม่ว่าจะจากภาพยนตร์เรื่องอื่นของ Star Wars (รวมทั้งภาคแยก)
หรือแม้กระทั่ง 'ภาพยนตร์คนแสดงของฮอลลีวูด' เรื่องอื่นใด ที่เคยยลด้วยสายตาตนเอง
เดี๋ยวจะหาว่าปูมาซะเวอร์ ทำนองเกิดมาไม่เคยเจอหนังแบบนี้
นี่คือจะด่าหนังห่วยบรมโลกไม่อยากจำ
หรือชมว่าทำออกมาดีขนาดชีวิตที่เหลือของกระผม คงมิอาจปลาบปลื้มต่อภาพยนตร์เรื่องใดได้มากกว่านี้อีกหรือกระไร ?
ไม่ใช่ทั้ง 2 อย่างแหละ และถ้าจะให้สรุปคือ "มันเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นบางเรื่อง"
ซึ่งไม่เคยนึกเคยฝันเลยสักนิด ว่าผู้สร้างภาพยนตร์คนแสดงของฮอลลีวูดจะกล้าทำ
ยังกับเขาคิดว่าจะปิดท้ายตำนานทั้งที งานนี้ทำเหมือนคนดมกาว ปล่อยของตามจินตนาการให้ดูเพ้อเจ้อ
เพื่อจบแบบอลังการดาวล้านดวงหน่อยละกัน จะได้สมศักดิ์ศรีเรื่องราวระดับมหากาพย์
คงไม่ใช่ทุกคนที่ตามดู Star Wars หรือภาพยนตร์ฮอลลีวูดประจำ จะเคยเสพงานบันเทิงฝั่งแดนปลาดิบประจำด้วย
จึงขอชี้แจงว่า สูตรนำเสนอแบบหนึ่งของการ์ตูนต่อสู้ญี่ปุ่นจำนวนนึง ที่เนื้อเรื่องยาวๆ
คือหลังจากตัวเอกผ่านประสบการณ์มากมาย และได้พบกับผู้คนหลากหลายระหว่างการผจญภัย
ในช่วงสุดท้ายตัวร้ายระดับบอสโคตรโหดหิน จนพวกพระเอกไม่มีทางโค่นลงไหวจะโผล่มา
เวลานี้แหละที่เหล่าผู้คนมากหน้าหลายตาทั่วทุกสารทิศ จะนัดรวมพลกันมาช่วยเหลือ
ส่วนตัวเอกก็ปลุกพลังที่สูงล้ำกว่าเดิมแบบก้าวกระโดดมาใช้ ซึ่งเขาได้รับจากผู้คนเหล่านั้น (หรือจากเทือกเถาเหล่ากอบรรพบุรุษอะไรก็ว่าไป) มาใช้ปราบบอสโคตรโหดลง
ถ้าพวกพี่ทำเป็นอนิเมชั่น 2D ด้วยลายเส้นแบบนี้ทั้งเรื่อง ผมอาจรู้สึกดีต่อหนังมากกว่านี้
ก่อนจะจิกกัดต่อ ขอย้อนกลับไปชื่นชมบรรดาข้อดีของภาคนี้
เนื้อหาก่อนเข้าศึกสุดท้าย ค่อนข้างได้บรรยากาศหนังสตาร์วอร์สดั้งเดิมมาก
ตัวอย่างเช่น การเปิดเรื่องแบบงงๆ ด้วยการบอกไว้ในตัวอักษรลอยอวกาศโต้งๆ ว่า 'จักรพรรดิกลับมาแล้วนะจ๊ะ'
โดยมิยอมให้เห็นฉากประกาศศักดา ว่าข้ากลับมาละของเขาในหนัง
และเริ่มเข้าเรื่องตรงฉากของไคโล เรน บุกดาวดวงหนึ่งเพื่อหาเข็มทิศนำทางสู่เอ็กเซอกอล (Exegol) ทันที
เหมือนคราว Return of the Jedi บอกตรงตัวอักษรก่อนเริ่มเรื่อง ว่าเดธสตาร์ดวงที่ 2 อยู่ระหว่างก่อสร้าง
เสร็จละไคโล เรนก็รี่ตรงดิ่งไปเจอซีเดียสที่เคลมว่า 'ปัจฉิมภาคี' (Final Order) ของข้ายิ่งใหญ่กว่าปฐมภาคีนัก, สโนคน่ะแค่ร่างสังเคราะห์ คือตัวร้ายระดับรองๆ
ฉะนั้นเอ็งลองคิดดูดีๆ ก่อนจะแหยม และมาอยู่ใต้อาณัติข้าซะ
เฮ้ย! จักรพรรดิอวดโอ่ได้อารมณ์บอสใหญ่มาก แถมอธิบายเรื่องสโนคสั้นๆ แต่ได้ใจความ ไม่ขัดกับ The Last Jedi เกินงามด้วย
ฉากโพพามิลเลนเนียมฟัลคอนโดดข้ามมิติไฮเปอร์สเปซอย่างบ้าคลั่งถือว่าได้ใจ
ทว่าส่วนแรกที่ขัดใจระหว่างดูสำหรับภาคนี้ คือฉากเรย์ฝึกภายใต้การชี้แนะของเลอา
ปัดโธ่คุณพี่ครับ, ไม่ใช่ทุกคนตามจักรวาลขยายเลยรู้นะ ว่าเลอาเคยฝึกฝนวิถีเจไดกะลุคด้วย
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นข้อเสียอย่างที่คาดตอนกำลังรับชม เพราะเขาปล่อยฉากฝึกให้ยลอีกที ตอนที่ลุค สกายวอล์คเกอร์รำลึกความหลังกะเรย์
ภาพยนตร์ภาคนี้มีโอกาสเห็น 3 สหายฟินน์, โพ, เรย์ ผจญภัยร่วมกัน สมดังใจหมายสักที
ความสมเหตุสมผลเรื่องเล็กน้อยต่างๆ ภายในท้องเรื่องไม่ต้องใส่ใจ, หนัง Star Wars แบบดั้งเดิมอารมณ์นี้อยู่แล้ว
The Rise of Skywalker ผลักโรสไปเป็นตัวประกอบไม่มีปัญหา
เพราะดูแล้วยังเด่นกว่าตัวประกอบอื่นๆ อีกหลายคน
ไหนจะบทพูดกับกิ๊กเก่าของโพ ที่อธิบายว่าทำไมคนทั้งกาแล็คซี่ไม่ยอมช่วยฝ่ายต่อต้านยามคับขันสุดขีด
และการเฉลยว่าเรย์เกี่ยวข้องกับพัลพาทีน ไม่ใช่สายตระกูลมาจากคนธรรมดาเฉยๆ
ก็ไม่ขัดใจสำหรับผม เพราะบท The Last Jedi มันเปิดช่องให้แถเพิ่มตรงนี้ไหว
คนอื่นว่าไง ตามใจไม่เสียหาย, แต่ตัวผมเองมองว่าโครงเรื่องทั้งของ The Last Jedi และของ The Rise of Skywalker ถูกวางไว้ลักษณะนี้ตั้งแต่แรก ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงขนาดบทดั้งเดิมเป็นหนังคนละเรื่องกับที่เราได้ดูกัน
อย่างไรก็ตาม The Last Jedi น่าจะเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับโรส และเปลี่ยนองค์ประกอบปลีกย่อยอีกหลายอย่าง (เช่น ภาพลักษณ์ลุค, ฉากขับยานชนยานด้วยความเร็วแสง หรือฉากไคลแมกซ์ที่ความจริงควรมีกำลังเสริมมาช่วยฝ่ายต่อต้าน)
เหมือนผู้กำกับไรอัน จอห์นสัน เล็งว่าจะ 'ตีความ' สตาร์วอร์สใหม่ยังไง แล้วดึงทิศทางของหนังให้เปลี่ยนตามวิสัยทัศน์ของเขา ภายใต้ความเห็นชอบ (หรือบงการ ?) ของบอสใหญ่อย่างอาเจ๊แคธลีน เคนเนดี้
เนื่องจากบทของ The Rise of Skywalker แถให้เหตุการณ์ใน Last Jedi กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องยาวได้หมด
(ต่อให้เจ.เจ.อับรามส์ทำเองครบไตรภาค ผมว่าสโนคน่าจะตายดื้อๆ มึนๆ คือกัน
แค่เรื่องเรย์เป็นลูกหลานใคร จะเฉลยในช่วงก่อนจบของ The Last Jedi แทน)
เอาละ หลังจากสาธยายความปลาบปลื้มต่อตัวหนังบางส่วนเรียบร้อย
คราวนี้ขอไล่เรียงเหตุขัดใจ หนังเริ่มนำเสนออะไรขัดหูขัดตาอีกทีตอนบทไคโล เรน กลับตัว
ซึ่งไม่หงุดหงิดอะไรกับการพลิกบทสู่ด้านสว่าง+โยนกระบี่กางเขนแดงทิ้ง ของหมอนี่
แต่ที่จู่ๆ วิญญาณฮาน โซโล โผล่มาคุยโดยมิใช่รูปแบบผีพลัง (Force Ghost) หรือต่อให้ใช่ก็เหอะ มันเป็นไปไม่ได้ทั้งสองทางรึเปล่าฟะ ?
เอาเหอะมองข้ามไป, เบน โซโล อาจคุยกับภาพหลอนจากจิตใต้สำนึกของเขา
มันมาเริ่มขัดใจจริงๆ คือตอนที่พบว่า เอ็กเซอกอลซึ่งภาพลักษณ์คือแดนลับแลเข้าถึงยาก ดันมีทรัพยากรมหาศาลขนาดสร้างกองทัพยิ่งใหญ่ได้ขนาดนั้น
ไม่จำเป็นมั้งครับท่าน ? จะให้ดูเยอะแยะบานเบอะถึงหลักร้อยไปใย ?
แค่ยานสตาร์เดสทรอยเยอร์หลายสิบลำ ติดอาวุธทำลายดาวกันหมดนี่ก็น่าหวาดหวั่นพอแล้วเหอะ
หรือกลัวฉากคนทั่วกาแล็คซี่ยกพลมาช่วยฝ่ายต่อต้านจะไม่ขลัง
ส่วนท่านจักรพรรดิผู้เปิดตัวต่อหน้าหลานสาวพร้อมกองเชียร์จำนวนมหาศาล
แทนที่จะสละเวลามาบอกคนดูให้รู้ว่ารอดตายอีท่าไหน เพื่อคลายความสงสัยสักประโยค
เช่น สาวกกลุ่มนึงช่างภักดีช่วยข้าไว้ หรือหลังข้าใช้พลังเกาะท่อจนรอดหวุดหวิด
คราวนี้จะให้ชัวร์ว่าคนทั่วกาแล็คซี่แห่งนั้นต้องชดใช้พร้อมพวกสกายวอล์คเกอร์ ก็ว่าไปสิ
ไฉนจึงพล่ามเรื่องหลานเอ๊ย ฆ่าข้าและขึ้นเป็นจักรพรรดินีซ้ำๆ อยู่นั่น จงใจไม่เฉลยว่ารอดยังไงให้กระจ่างนี่หว่า...
เรื่องกลุ่มอัศวินแห่งเรน (Knights of Ren) ไม่ค่อยมีบทบาทสำคัญ คล้ายกับโผล่มาบริการแฟนบอยที่เห็นว่าพวกนี้เท่
แถมยังโดนเบน โซโล โซโล่คนเดียวกวาดยกแก๊งค์ ผมไม่ผิดหวังหรอก
เพราะตอน The Force Awakens โผล่นิดเดียว และใน The Last Jedi ไม่มีบทสักแอะ เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาแคร์พวกนี้มากมาย
แค่หงุดหงิดเล็กน้อยที่ไม่ยอมบอกความเป็นมาไว้สักประโยค (เหมือนอีตาจักรพรรดิ)
แต่ให้ตายเถอะ จงใจโชว์วิธีใช้พลังรูปแบบใหม่เกินไปนิดมั้ย ? เพราะถึงเบน โซโลกลับใจ
ใช่ว่าจะต้องรีบโยนกระบี่กางเขนแดงทิ้ง จนไร้ไลท์เซเบอร์ติดตัวก่อนเจอพวกอัศวินแห่งเรนสักหน่อย
พอเรย์กับเบนเผชิญหน้าจักรพรรดิร่วมกัน การใช้พลังเวอร์วังเป็นการ์ตูนพลันเริ่มต้น
พัลพาทีนดูดพลังทั้ง 2 คนมารักษาร่างกายตน จนฟื้นฟูกำลังวังชากลับมาฟิตปั๋งเกิน 100 %
ถึงกับอุทานในใจว่า, เฮ้ย! พลังรักษามันเทพได้ถึงขั้นนั้นเชียว
แต่นั่นยังไม่พอหรอก เพราะท่านจักรพรรดิปล่อยสายฟ้าโคตรโหดจากมือ 2 ข้าง
ระดับสูงขนาดฟาดแปลบปลาบเพียงครั้งเดียว ทำยานรบจำนวนมากหยุดกึกกลางอากาศเฉย
เบนโดนซัดตกนอกเวที เหลือเรย์สู้ซีเดียสคนเดียว ท่าทางงานนี้จบเห่แหง
เรย์จะงัดอะไรออกมาสู้ได้อีกฟะ ? ทันใดนั้นวิญญาณเจไดทุกรุ่นที่ผ่านมาส่งพลังเข้าช่วยเหลือ
หล่อนคว้าไลท์เซเบอร์สู่มือทั้ง 2 ข้าง แล้วใช้ 'พลังมิตรภาพ' ของเจไดหลายเจเนอเรชั่นมาจัดการเจ้าคุณปู่ อย่างกับในการ์ตูนญี่ปุ่นยังไงยังงั้น
กองเชียร์มหาศาลของพัลพาทีนก็ซวยชิบเป๋ง เจอลูกหลงจากการปะทะกันของพลังรวมรุ่นแห่งซิธและเจได บวกกับสิ่งก่อสร้างถล่มลงมาทับจนตายเพื่อ 'ตัดบท' กันหมด
ด้านปลายทางความรักของเรย์กับเบน จะจบแบบที่เห็นก็โอเค
ส่วนฉากจบที่เรย์เลือกใช้นามสกุลของลุค+เลอา/อาจารย์ทั้ง 2 คนของหล่อน นี่ค่อนข้างชอบมาก
ที่ต้องร่ายความรู้สึกตอนดูตามฉากโน้นฉากนี้อยู่นั่น ไม่ใช่อยากมาแชร์ความผิดหวัง หรือประทับใจในทางใดทางหนึ่งต่อตัวผลงาน
แต่ต้องการทำให้กระจ่างว่าความรู้สึกต่อ The Rise of Skywalker ของผมมันผสมปนเประหว่างความสุขสมใจกับความผิดหวัง ซะตีกันมั่วไปหมดเพียงใด
บางคนอาจแย้งว่าเวอร์ตรงไหน เทียบกับการ์ตูนญี่ปุ่นทำไม ?
เสกลพลังระดับนี้จิ๊บๆ หากเนื้อหาจักรวาลขยายยุค Legends (ก่อนจอร์จ ลูคัสขายกิจการ) ยังไม่โดนดิสนีย์ตัดออก
การรวมพลังคนทั่วกาแล็คซี่หรือรวมพลังเจไดหลายรุ่นเพื่อสมรภูมิสุดท้าย มันสมเหตุสมผล คนฝั่งตะวันตกคิดเองได้ไม่ใช่เลียนแบบชาวญี่ปุ่นหรอก
ก็อยากบอกว่าไม่ใช่เลียนแบบ แค่ลักษณะศึกสุดท้ายมันคล้ายอารมณ์ที่ผมเคยเจอตามการ์ตูนฝั่งตะวันออกมากกว่า (ความรู้สึกส่วนตัวนั่นแหละ)
ส่วนเสกลพลังนี่ไฉนต้องค่อนแคะว่ามันกาว ? ทุกอย่างเค้ามีเหตุผลรองรับ
- พลังเชื่อมสัมพันธ์เรย์-เบนปูทางมาดี อันนี้ยกเว้น ผมไม่ได้ว่าอะไรถ้าจะส่งกระบี่ข้ามมิติ
ฟาดกันข้ามมิติโชว์ล่วงหน้าแล้ว แค่ส่งของผ่านมิตินี่ไม่บ่นหรอก
- แต่พลังรักษาเพิ่งเปิดตัวภาคนี้ และจำได้ว่าเรย์ใช้ให้เห็นก่อนพัลพาทีนแค่ 2 ครั้ง ซึ่งการรักษาแผลมันคนละระดับกับที่พัลพาทีนฟื้นสภาพร่างกายเลยนะ มันโดดเกินไป (เรย์กับเบนควรถูกดูดพลังชีวิตมากจนตายคาที่ทั้งคู่ด้วยซ้ำ)
- สายฟ้าฟาดหยุดยานนับร้อยของจักรพรรดินี่ก็เข้าใจ ว่าคือรวมพลังซิธหลายรุ่น แถมบรรยากาศเฉพาะของเอ็กเซอกอลเอื้ออำนวยต่อการใช้พลังด้านมืด
แต่ให้ตายเถอะ, ผมชอบจักรวาลขยายยุค Canon ของดิสนีย์ตรงที่คุมเสกลพลังดีกว่า Legends นะ
แล้วไหงจู่ๆ ตัวละครหลักดันใช้พลังที่ระดับความรุนแรงโดดจากหนังทั้ง 8 ภาคก่อนเอาตอนนี้
โดยมีแค่คำอธิบายเสริมบ้าง ทว่าขาดการปูทางขยับความโหดของการใช้พลังมาเป็นลำดับล่วงหน้าละ ?
ต่อให้เจ.เจ.อับรามส์เขียนบท+กำกับ The Last Jedi ด้วย ผมก็ว่าไม่ช่วยลดความโดดของระดับพลังที่ภาคนี้นำเสนอนักหรอก
โดดขนาดนี้มันควรกลับไปทำ Episode VI รีเมค ให้ลุคปลุกพลังเจ๋งๆ มาตบจักรพรรดิเองไม่ต้องพึ่งพ่อ
แล้วเรย์โชว์พลังที่เหนือกว่านั้นตั้งแต่ Episode VII ด้วยซ้ำ ถึงจะกลบความห่างราวฟ้ากับเหวนี่ไหว
[สรุป] The Rise of Skywalker มีหลายจุดประทับใจ อารมณ์ของภาพยนตร์เหมือนภาคต่อของ The Force Awakens มากกว่า ทว่าไม่มองข้าม The Last Jedi
อย่างไรก็ตาม ความบกพร่องหลักๆ ของมันคือการ [พยายามเล่นใหญ่] เพื่อให้สมศักดิ์ศรีภาคจบมหากาพย์
จนปัจฉิมภาคีดูการ์ตูนจ๋า หรือระดับการใช้พลัง (The Force) กระโดดมากเกินไป
โดยหลงลืมว่าภาพยนตร์ 8 ภาคก่อนหน้าเป็นอย่างไร
หรือ Return of the Jedi เคยทำให้ผู้คนประทับใจแค่ไหน ทั้งที่พระเอกแบบลุค สกายวอล์คเกอร์มิได้เรียกพลังเจไดหลายชั่วรุ่นมาใช้เอาชนะจักรพรรดิ
แต่แค่ยืนหยัดในความดี, เชื่อมั่นในตัวบิดา รวมถึงเชื่อใจพวกพ้องของเขา ไม่ว่าสถานการณ์จะชวนสิ้นหวังเพียงไหน
COMMENTS