แม้แฟรนไชส์ Jurassic Park คือภาพจำของหนังไดโนเสาร์ แต่ยุคสมัยที่ไตรภาคแรกฉายห่างกับภาค 4 อย่าง Jurassic World นานถึงสิบกว่าปี หากตอนนั้นมัน...
แม้แฟรนไชส์ Jurassic Park คือภาพจำของหนังไดโนเสาร์ แต่ยุคสมัยที่ไตรภาคแรกฉายห่างกับภาค 4 อย่าง Jurassic World นานถึงสิบกว่าปี
หากตอนนั้นมันกลายเป็นหนังที่ไม่ดีสมการรอคอยของใครหลายคน ก็คงไม่มีทางได้เห็นภาค 5 คลอดตามมา
แม้ 'คอลิน เทรวอโรว์' ผู้กำกับภาค 4 ยังอำนวยการสร้างและช่วยเขียนบทภาค 5
แต่การเปลี่ยนเอาผู้กำกับคนใหม่มารับงานแทนในการผลิตภาพยนตร์ภาคต่อ ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมาพร้อมความเสี่ยง
อย่างไรก็ดี Jurassic World: Fallen Kingdom ทำเงินอย่างงาม ซึ่งต้องชื่นชมเจ.เอ.บาโยนา/ผู้มารับงานแทนแน่นอนอยู่
แต่การที่เทรวอโรว์กลับมากำกับ Jurassic World 3 และจะช่วยดูแลเรื่องบทภาพยนตร์ให้ด้วยนั้น
มันย่อมหมายความว่าชายผู้นี้คือบุคคลสำคัญ ที่ช่วยปลุกปั้นให้แฟรนไชส์ Jurassic กลับมาผงาดตั้งแต่แรก
แล้วเขาทำได้อย่างไร ? เทรวอโรว์ยอมเปิดเผยยุทธวิธีให้สถาบันภาพยนตร์อังกฤษ (British Film Institute) ทราบ
และเคล็ด (ไม่) ลับทั้ง 6 ข้อในการสร้างหนังไดโนเสาร์เจ๋งๆ ของเขา ก็มีดังต่อไปนี้
[1] ปฏิบัติกับไดโนเสาร์เหมือนสัตว์ธรรมดา
ผมพยายามมองไดโนเสาร์เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าพวกสัตว์ เป็นได้ทั้งสิ่งที่คนรักและสิ่งที่น่ากลัวชวนขวัญผวา
ผมมองว่าพวกมันสามารถเป็นได้ทั้งมิตรแท้ และอันตรายใหญ่หลวงสุดของเรา
ความเป็นไปได้เหล่านั้น คือสิ่งที่ทำให้คุณไม่แน่ใจว่าเชื่อใจมันได้แค่ไหน
และเรื่องนี้ทำให้อะไรๆ น่าสนใจกว่า การใช้สัตว์ประหลาดที่เอาแต่หลอกให้คนกลัวท่าเดียว
[2] มีตัวละครฮีโร่ที่ผู้คนเข้าถึงได้
ฮีโร่จำเป็นต้องมีความ 'เข้าถึงได้' อันเกิดจากความเปราะบาง บางอย่างของพวกเขาอยู่
ผมชอบฮีโร่ที่เลือดออกได้, มีความซับซ้อน และต้องผจญปัญหาชีวิตบางประการ เหมือนกับที่พวกเราทุกคนเจอบ้างบางครั้งระหว่างใช้ชีวิตประจำวัน
เราทุกคนมีชั่วขณะที่จินตนาการว่าตัวเองเป็นฮีโร่
ดังนั้นถ้าทำให้พวกเขาเข้าถึงง่าย, การผจญภัยในหนังไดโนเสาร์จะจับเอาความสนใจของคนดูไว้ได้อย่างอยู่หมัด
[3] อย่าลืมใส่ตัวร้ายไว้ (เยอะๆ)
เรามีปรปักษ์ของพวกตัวเอกจำนวนมาก ผมพิจารณาอย่างดีว่า Jurassic World ทั้งสองภาคควรใช้ตัวร้ายแบบไหน
ตัวร้ายควรเป็นมนุษย์, เป็นองค์กรโลภมาก และคนที่สนใจเพียงผลประโยชน์ทางธุรกิจ หรือการสร้างรายได้
ผมพบว่าแฟรนไชส์นี้พิเศษตรงมีแค่ฮีโร่ที่เป็นมนุษย์ กับวายร้ายที่เป็นมนุษย์
สำหรับผมไดโนเสาร์ไม่เคยเป็นผู้ร้าย พวกมันก็แค่สัตว์ จะหันไปเล่นบทดีหรือร้ายก็ได้หมด
แน่ละว่าสัตว์กินเนื้อย่อมจ้องจะกินคุณ แต่นักล่าพวกนี้ใช่ว่าคิดเฉพาะเรื่องท้องมันหิวแค่ไหน
พวกมันกังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตตัวเองด้วยเหมือนกัน ใครๆ ก็กลัวภูเขาไฟระเบิดทั้งนั้น
พวกมันวิ่งหนีเช่นเดียวกับที่มนุษย์พึงกระทำ ผมเลยคิดว่านี่คือโอกาสดีที่จะโยนมนุษย์กับไดโนเสาร์ลงไปเจอสถานการณ์เดียวกันในหนัง
ผมชอบสถานการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนแบบนี้นะ ความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ดูเล็กจ้อยไปเลย เมื่อเทียบกับภยันตรายใหญ่หลวงซึ่งเข้าคุกคามชีวิตของทั้งสองฝ่าย
[4] ขยันใส่อันตรายให้ตัวละครเผชิญภัย
คงเหมือนผู้ผลิตหนังคนอื่นๆ ที่รับผิดชอบงานลักษณะนี้
ผมรู้สึกราวกับตัวเองเป็นนักเรียน ที่ต้องศึกษาว่าควรทำอย่างไรในการผลิตภาพยนตร์ภาคที่อยู่ตรงกลาง ของหนังชุดไตรภาค
Fallen Kingdom ใส่ฉากตัวละครเสี่ยงตายไปแบบไม่ยั้ง พวกเขาท้ามฤตยูตลอดเวลา
แบบเดียวกับภาพยนตร์ภาคกึ่งกลางซึ่งเป็นตัวอย่างชั้นดี แบบสตาร์วอร์สตอน The Empire Strikes Back ที่เหล่าตัวละครเจออุปสรรคตั้งแต่เริ่มยันจบ
เราไม่อยากให้คนดูเจอฉากจบแบบอารมณ์ค้าง เนื้อหาของ Fallen Kingdom จึงต้องจบสมบูรณ์ในตัว แต่ยังยั่วให้ผู้คนอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ
ขอบอกว่าการหาสมดุลระหว่างความสมบูรณ์กับการทิ้งเชื้อไว้ เป็นอะไรที่ยากชะมัด
[5] ไม่ลืมใส่สาระควบคู่ไปกับความบันเทิง
ผมพยายามไม่ทำหนังที่สอนคนดู แต่รู้สึกว่าเรื่องราวนี้ผลักดันให้เราตั้งคำถามตามธรรมชาติ
เกี่ยวกับความรับผิดชอบของมนุษย์ต่อสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ บนผืนพิภพ, เราใส่มันลงไปเยอะมากในหนัง
แรดขาวเพศผู้ตัวสุดท้ายตายไปแล้ว และนั่นเป็นเพราะมนุษย์อย่างเราๆ
มนุษย์สร้างผลกระทบใหญ่หลวงต่อดาวดวงนี้ และพวกเราก็ควรที่จะหารือกันเกี่ยวกับวิธีแก้ไขความผิดพลาดนั่น
[6] เชิดชู สตีเวน สปีลเบิร์ก
Jurassic World ภาคแรกเกิดจากไอเดียหลายๆ อย่างของสตีเวน สปีลเบิร์ก และผมมองว่าหนังเรื่องนั้นทำขึ้นเพื่อตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ของเขา
ใน Fallen Kingdom เขาอนุญาตให้เดเร็ค คอนนอลลี่ กับผมเขียนบทเอง และคอยมอบคำแนะนำ
ซึ่งผมเชื่อว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หนังทั้งสองภาคออกมาดี คือเรามีสิทธิ์ท้าทายตัวเอง, ใส่บางอย่างลงไปตามใจ และกล้าทำอะไรเสี่ยงๆ
โดยคอยระวังมิให้ลบหลู่สิ่งที่สตีเวน สปีลเบิร์กกับไมเคิล ไครช์ตันสร้าง
จะว่าไปก็เหมือนเดินเข้าสวน ที่คนอื่นปลูกต้นไม้ไว้ก่อนหน้าพวกเรามา แล้วหว่านเมล็ดพันธุ์ของตัวเองใส่ทีหลัง โดยหวังว่าสักวันมันจะเติบโตขึ้นเป็นไม้ใหญ่ต้นใหม่
หากตอนนั้นมันกลายเป็นหนังที่ไม่ดีสมการรอคอยของใครหลายคน ก็คงไม่มีทางได้เห็นภาค 5 คลอดตามมา
แม้ 'คอลิน เทรวอโรว์' ผู้กำกับภาค 4 ยังอำนวยการสร้างและช่วยเขียนบทภาค 5
แต่การเปลี่ยนเอาผู้กำกับคนใหม่มารับงานแทนในการผลิตภาพยนตร์ภาคต่อ ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมาพร้อมความเสี่ยง
อย่างไรก็ดี Jurassic World: Fallen Kingdom ทำเงินอย่างงาม ซึ่งต้องชื่นชมเจ.เอ.บาโยนา/ผู้มารับงานแทนแน่นอนอยู่
แต่การที่เทรวอโรว์กลับมากำกับ Jurassic World 3 และจะช่วยดูแลเรื่องบทภาพยนตร์ให้ด้วยนั้น
มันย่อมหมายความว่าชายผู้นี้คือบุคคลสำคัญ ที่ช่วยปลุกปั้นให้แฟรนไชส์ Jurassic กลับมาผงาดตั้งแต่แรก
แล้วเขาทำได้อย่างไร ? เทรวอโรว์ยอมเปิดเผยยุทธวิธีให้สถาบันภาพยนตร์อังกฤษ (British Film Institute) ทราบ
และเคล็ด (ไม่) ลับทั้ง 6 ข้อในการสร้างหนังไดโนเสาร์เจ๋งๆ ของเขา ก็มีดังต่อไปนี้
[1] ปฏิบัติกับไดโนเสาร์เหมือนสัตว์ธรรมดา
ผมพยายามมองไดโนเสาร์เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าพวกสัตว์ เป็นได้ทั้งสิ่งที่คนรักและสิ่งที่น่ากลัวชวนขวัญผวา
ผมมองว่าพวกมันสามารถเป็นได้ทั้งมิตรแท้ และอันตรายใหญ่หลวงสุดของเรา
ความเป็นไปได้เหล่านั้น คือสิ่งที่ทำให้คุณไม่แน่ใจว่าเชื่อใจมันได้แค่ไหน
และเรื่องนี้ทำให้อะไรๆ น่าสนใจกว่า การใช้สัตว์ประหลาดที่เอาแต่หลอกให้คนกลัวท่าเดียว
[2] มีตัวละครฮีโร่ที่ผู้คนเข้าถึงได้
ฮีโร่จำเป็นต้องมีความ 'เข้าถึงได้' อันเกิดจากความเปราะบาง บางอย่างของพวกเขาอยู่
ผมชอบฮีโร่ที่เลือดออกได้, มีความซับซ้อน และต้องผจญปัญหาชีวิตบางประการ เหมือนกับที่พวกเราทุกคนเจอบ้างบางครั้งระหว่างใช้ชีวิตประจำวัน
เราทุกคนมีชั่วขณะที่จินตนาการว่าตัวเองเป็นฮีโร่
ดังนั้นถ้าทำให้พวกเขาเข้าถึงง่าย, การผจญภัยในหนังไดโนเสาร์จะจับเอาความสนใจของคนดูไว้ได้อย่างอยู่หมัด
[3] อย่าลืมใส่ตัวร้ายไว้ (เยอะๆ)
เรามีปรปักษ์ของพวกตัวเอกจำนวนมาก ผมพิจารณาอย่างดีว่า Jurassic World ทั้งสองภาคควรใช้ตัวร้ายแบบไหน
ตัวร้ายควรเป็นมนุษย์, เป็นองค์กรโลภมาก และคนที่สนใจเพียงผลประโยชน์ทางธุรกิจ หรือการสร้างรายได้
ผมพบว่าแฟรนไชส์นี้พิเศษตรงมีแค่ฮีโร่ที่เป็นมนุษย์ กับวายร้ายที่เป็นมนุษย์
สำหรับผมไดโนเสาร์ไม่เคยเป็นผู้ร้าย พวกมันก็แค่สัตว์ จะหันไปเล่นบทดีหรือร้ายก็ได้หมด
แน่ละว่าสัตว์กินเนื้อย่อมจ้องจะกินคุณ แต่นักล่าพวกนี้ใช่ว่าคิดเฉพาะเรื่องท้องมันหิวแค่ไหน
พวกมันกังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตตัวเองด้วยเหมือนกัน ใครๆ ก็กลัวภูเขาไฟระเบิดทั้งนั้น
พวกมันวิ่งหนีเช่นเดียวกับที่มนุษย์พึงกระทำ ผมเลยคิดว่านี่คือโอกาสดีที่จะโยนมนุษย์กับไดโนเสาร์ลงไปเจอสถานการณ์เดียวกันในหนัง
ผมชอบสถานการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนแบบนี้นะ ความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ดูเล็กจ้อยไปเลย เมื่อเทียบกับภยันตรายใหญ่หลวงซึ่งเข้าคุกคามชีวิตของทั้งสองฝ่าย
[4] ขยันใส่อันตรายให้ตัวละครเผชิญภัย
คงเหมือนผู้ผลิตหนังคนอื่นๆ ที่รับผิดชอบงานลักษณะนี้
ผมรู้สึกราวกับตัวเองเป็นนักเรียน ที่ต้องศึกษาว่าควรทำอย่างไรในการผลิตภาพยนตร์ภาคที่อยู่ตรงกลาง ของหนังชุดไตรภาค
Fallen Kingdom ใส่ฉากตัวละครเสี่ยงตายไปแบบไม่ยั้ง พวกเขาท้ามฤตยูตลอดเวลา
แบบเดียวกับภาพยนตร์ภาคกึ่งกลางซึ่งเป็นตัวอย่างชั้นดี แบบสตาร์วอร์สตอน The Empire Strikes Back ที่เหล่าตัวละครเจออุปสรรคตั้งแต่เริ่มยันจบ
เราไม่อยากให้คนดูเจอฉากจบแบบอารมณ์ค้าง เนื้อหาของ Fallen Kingdom จึงต้องจบสมบูรณ์ในตัว แต่ยังยั่วให้ผู้คนอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ
ขอบอกว่าการหาสมดุลระหว่างความสมบูรณ์กับการทิ้งเชื้อไว้ เป็นอะไรที่ยากชะมัด
[5] ไม่ลืมใส่สาระควบคู่ไปกับความบันเทิง
ผมพยายามไม่ทำหนังที่สอนคนดู แต่รู้สึกว่าเรื่องราวนี้ผลักดันให้เราตั้งคำถามตามธรรมชาติ
เกี่ยวกับความรับผิดชอบของมนุษย์ต่อสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ บนผืนพิภพ, เราใส่มันลงไปเยอะมากในหนัง
แรดขาวเพศผู้ตัวสุดท้ายตายไปแล้ว และนั่นเป็นเพราะมนุษย์อย่างเราๆ
มนุษย์สร้างผลกระทบใหญ่หลวงต่อดาวดวงนี้ และพวกเราก็ควรที่จะหารือกันเกี่ยวกับวิธีแก้ไขความผิดพลาดนั่น
[6] เชิดชู สตีเวน สปีลเบิร์ก
Jurassic World ภาคแรกเกิดจากไอเดียหลายๆ อย่างของสตีเวน สปีลเบิร์ก และผมมองว่าหนังเรื่องนั้นทำขึ้นเพื่อตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ของเขา
ใน Fallen Kingdom เขาอนุญาตให้เดเร็ค คอนนอลลี่ กับผมเขียนบทเอง และคอยมอบคำแนะนำ
ซึ่งผมเชื่อว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หนังทั้งสองภาคออกมาดี คือเรามีสิทธิ์ท้าทายตัวเอง, ใส่บางอย่างลงไปตามใจ และกล้าทำอะไรเสี่ยงๆ
โดยคอยระวังมิให้ลบหลู่สิ่งที่สตีเวน สปีลเบิร์กกับไมเคิล ไครช์ตันสร้าง
จะว่าไปก็เหมือนเดินเข้าสวน ที่คนอื่นปลูกต้นไม้ไว้ก่อนหน้าพวกเรามา แล้วหว่านเมล็ดพันธุ์ของตัวเองใส่ทีหลัง โดยหวังว่าสักวันมันจะเติบโตขึ้นเป็นไม้ใหญ่ต้นใหม่
ที่มา: British Film Institute
COMMENTS