กาลเวลาที่ผ่านมาน่าจะพิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าการสร้างจักรวาลภาพยนตร์ซึ่งหนังหลายเรื่องเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันมิใช่เรื่องง่าย เพราะแฟรนไชส์หน...
กาลเวลาที่ผ่านมาน่าจะพิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าการสร้างจักรวาลภาพยนตร์ซึ่งหนังหลายเรื่องเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันมิใช่เรื่องง่าย
เพราะแฟรนไชส์หนังเรื่องอื่นๆ ต่างก็มีจุดสะดุดหกล้มคว่ำคะมำหงาย ต้องหยุดไปคิดทบทวนแนวทางการนำเสนอใหม่อยู่เรื่อยในระยะหลัง
ตัวอย่างเช่น Transformers ที่ฉบับรีบู๊ทกำลังมา, DC หลัง BvS กับ Justice League หรือ Star Wars ซึ่งมีข่าวระงับการสร้างภาคแยกตัวละครหลายเรื่องหลัง Solo: A Star Wars Story ฉาย
แต่หนังฮีโร่ค่ายมาร์เวลกลับลอยหน้าลอยตา ปล่อยหนังออกฉายต่อเนื่องปีละหลายเรื่องได้แบบไม่มีสะดุด และกับเรื่องล่าสุดอย่างหนังมนุษย์มดภาคสอง "Ant-Man and the Wasp/แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์" ก็ยังคงประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ แม้ปาเข้าไปเป็นเรื่องที่ 20 แล้ว
ปัจจัยสำคัญเรื่องหนึ่งหนีไม่พ้นการกอดเอาสูตรสำเร็จของวิธีสร้างหนังเพื่อความบันเทิงไว้เหนียวแน่น ไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ
ตัวอย่างเช่น เน้นเล่าชีวิตฮีโร่ตัวเอกประจำเรื่องกับพวกพ้องเป็นหลัก, ถือเอาการเล่ามุมมองหรือความคิดฝ่ายตัวร้ายเป็นเรื่องรอง, หลีกเลี่ยงความรุนแรงระดับ 18+ หรือใส่มุกตลกประปรายในหนังตลอด จนดูได้ทุกเพศทุกวัย
ไม่ใช่ภาพยนตร์มาร์เวลทุกเรื่องยึดคัมภีร์สูตรสำเร็จเป็นที่ตั้ง หนังแหกสูตรมีมาอยู่เนืองๆ ที่โดดเด่นคือ Captain America: Civil War หรือ Avengers: Infinity War ซึ่งทำรายได้สูงทั้งสองเรื่อง
แต่แน่นอนว่าการทำหนังแบบนั้นออกมาตลอดปีละหลายครั้งคงเป็นไปไม่ได้
ฉะนั้นเราจึงพบกับสูตรสำเร็จดั้งเดิมอีกใน Ant-Man and the Wasp เมื่อพระเอกผู้สวมชุดย่อ/ขยายส่วนได้มีปัญหาชีวิตรอการสะสาง เพราะนิสัยทำสิ่งที่ตนคิดว่าถูกต้องแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่ตระหนักถึงผลลัพธ์จากการกระทำจนคนรอบข้างเดือดร้อน
เขาเลยต้องเริ่มการต่อสู้ครั้งใหม่ ช่วยภารกิจกู้ภัยแม่นางเอกจากมิติลี้ลับ พร้อมกับคอยระวังไม่ให้เรื่องแหกกฎโดนกักบริเวณ, ออกนอกบ้านไปทำโน่นนี่แดงขึ้นมา เพื่อหลีกเลี่ยงการทำชีวิตตัวเองพังซ้ำอีกครั้ง
หากดูเผินๆ ขอบอกว่ามันสูตรสำเร็จมากๆ เพราะประเด็นสอดแทรกชวนขบคิดอย่างเช่น การกระทำของฮีโร่เป็นเพียงการทำตามใจตัวเองหรือไม่? การต่อสู้ช่วยเหลือผู้คนโดยขัดกฎหมายคือเรื่องผิดงั้นหรือ? ซึ่งหนังสามารถเล่นประเด็นพวกนี้ได้ เนื่องจากพระเอกทำผิดกฎหมายตอน Civil War แต่กลับไม่ถูกหยิบยกมานำเสนอเท่าไหร่
พระเอกแค่ช่วยครอบครัวนางเอกกับประคองชีวิตตัวเองให้ไม่พังเท่านั้นจริงๆ เพราะไม่มีฉากอารมณ์แบบ 'แย่แล้วโจรปล้นธนาคาร, บ้านคนไฟไหม้, ตัวร้ายไล่พังตึก ได้เวลาเสี่ยงทำชีวิตพังแล้วออกไปกู้โลกละ' อะไรทำนองนั้นเลย (...พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง...)
ไหนจะความตลกเฮฮา ปล่อยมุกสอดแทรกการดำเนินเรื่องแบบต่อเนื่อง มุกตลกบางอันเรียกว่าขาดความจำเป็น หรือแค่นึกได้เลยใส่มาด้วยซ้ำ
ตัวอย่างคือ การให้ชุดมนุษย์มดรุ่นใหม่มีปัญหาเรรวนด้านการย่อ/ขยายส่วนปรับขนาดมั่วซั่ว ส่งผลให้พระเอกติดอยู่ในร่างเล็กหรือใหญ่เกินไปเพื่อเรียกเสียงฮา ที่ใส่มาหลายครั้งโดยไม่มีผลอะไรต่อเนื้อเรื่องแบบเห็นได้ชัด
มิหนำซ้ำปัญหาและอุปสรรคอันประดังประเดเข้าหาตัวละครเป็นระยะไม่ขาดสาย ตอนท้ายเรื่องกลับแก้ได้รวดเดียวหมด ทำเอาทุกอย่างแลดูง่าย สมเป็นหนังสูตรสำเร็จ
อารมณ์ประมาณ 'ชีวิตมีปัญหานะ แต่จะแคร์ทำไม? ในเมื่อสุดท้ายทุกอย่างต้องไปได้สวย'
มันไม่มีอารมณ์ชวนลุ้นว่าตัวละครจะหาทางเอาชนะศัตรูได้ยังไง? หรือมีบทสรุปสุขใจแบบหวานอมขมกลืน เช่น แม่นางเอกกลับมาได้ แต่อาการน่าเป็นห่วง ไม่ใช่คนเดิม 100%, สงสารตัวร้ายเพราะร่างสลาย หรือบริษัทของกลุ่มเพื่อนพระเอกเจ๊งตอนจบ
ถ้าหนังมีดีเพียงการใช้สูตรสำเร็จเก่าเอามาเล่าใหม่ ต่อให้จังหวะเล่าเรื่องลื่นไหล, สนุกสนาน, ตลกขบขัน ตอบโจทย์ความบันเทิงแค่ไหน
ผมก็คงตะขิดตะขวงใจนิดหน่อยกับการให้หนังอยู่ในเกณฑ์ "ดี" ตามกระแส แต่แน่นอน, หนังเขามีดีมากกว่าสูตรสำเร็จเก่าๆ แบบนั้น
มิติควอนตัม กับตัวร้ายในหนังเป็นที่มาหลักๆ ของความสดใหม่
มิติลี้ลับนั้นขนาดหนังเล่นประเด็นนี้ประปรายทั้งเรื่อง ก็ยังไม่ค่อยเห็นภาพของมันชัดเท่าไหร่ว่าคืออะไร? มีอะไรอยู่บ้าง? แถมท่าทางใช้เปิดประเด็นเล่นเรื่องข้ามเวลา ข้ามมิติแปลกๆ เพิ่มได้ด้วย ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจตอนดูได้มาก
ด้านตัวร้ายสดใหม่เพราะพลังผ่านทะลุวัตถุมีที่มาและการคงอยู่อันเจ็บปวด ซ้ำร้ายผู้คนมากมายกลับหาทางใช้ประโยชน์ ไม่คิดช่วยเหลือ ทำให้เธอคือตัวร้ายที่ดูเหมือน 'เหยื่อ' จากการกระทำของผู้อื่น ไม่ใช่อยากทำร้ายผู้คนโดยสันดาน หรือทำเพื่ออุดมการณ์ขัดศีลธรรมใดๆ คือตัวร้ายรูปแบบใหม่ของมาร์เวลเลยละ
นอกจากชื่นชมนักแสดงที่เล่นได้ดีแล้ว ต้องชื่นชมการวางบทตัวละครด้วย เพราะการใส่ตัวละครซึ่งเป็นเสมือนพ่อของเธอไว้คอยเบรค ไม่ให้ทำเรื่องเลวร้ายเกินเหตุนั้นดีเยี่ยม
เนื่องจากหากปล่อยเธอทำเรื่องร้ายกับพร่ำบ่นเกี่ยวกับความเจ็บปวดของตัวเองรัวๆ คนดูอาจจะรำคาญแทน พาลให้ลืมสงสารเธอเอา
และ Ant-Man and the Wasp ยังใช้ข้อได้เปรียบของการสร้างจักรวาลภาพยนตร์ไว้ ช่วยเพิ่มความสดใหม่
เพราะตอนจบแท้จริงของหนังอยู่ในฉากแถมท้ายหลังหนังจบอันแรก ความจริงทุกอย่างไม่ได้จบลงสวยงามประทับใจ ครอบครัวนางเอกประสบชะตากรรมน่าเศร้า และพระเอกค้างเติ่งในมิติควอนตัมโดยไม่ทราบว่าจะออกมาได้หรือไม่? (...นี่มันหักหลังคนดู หลังจากที่คิดว่าทุกอย่างจบลงด้วยดีมีความสุขแล้วชัดๆ...)
--สรุป-- Ant-Man and the Wasp ตอบโจทย์ความบันเทิง หนังเล่าเรื่องลื่นไหล, สนุกสนาน, ตลกขบขัน หากมองเฉพาะเนื้อหาหลักของหนัง นี่คือภาพยนตร์สูตรสำเร็จสุดธรรมดาสามัญ แต่จะกลายเป็นหนังน่าประทับใจของแท้ เมื่อมองมันเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ใหญ่กว่าในจักรวาลภาพยนตร์ครับ
เพราะแฟรนไชส์หนังเรื่องอื่นๆ ต่างก็มีจุดสะดุดหกล้มคว่ำคะมำหงาย ต้องหยุดไปคิดทบทวนแนวทางการนำเสนอใหม่อยู่เรื่อยในระยะหลัง
ตัวอย่างเช่น Transformers ที่ฉบับรีบู๊ทกำลังมา, DC หลัง BvS กับ Justice League หรือ Star Wars ซึ่งมีข่าวระงับการสร้างภาคแยกตัวละครหลายเรื่องหลัง Solo: A Star Wars Story ฉาย
แต่หนังฮีโร่ค่ายมาร์เวลกลับลอยหน้าลอยตา ปล่อยหนังออกฉายต่อเนื่องปีละหลายเรื่องได้แบบไม่มีสะดุด และกับเรื่องล่าสุดอย่างหนังมนุษย์มดภาคสอง "Ant-Man and the Wasp/แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์" ก็ยังคงประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ แม้ปาเข้าไปเป็นเรื่องที่ 20 แล้ว
ปัจจัยสำคัญเรื่องหนึ่งหนีไม่พ้นการกอดเอาสูตรสำเร็จของวิธีสร้างหนังเพื่อความบันเทิงไว้เหนียวแน่น ไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ
ตัวอย่างเช่น เน้นเล่าชีวิตฮีโร่ตัวเอกประจำเรื่องกับพวกพ้องเป็นหลัก, ถือเอาการเล่ามุมมองหรือความคิดฝ่ายตัวร้ายเป็นเรื่องรอง, หลีกเลี่ยงความรุนแรงระดับ 18+ หรือใส่มุกตลกประปรายในหนังตลอด จนดูได้ทุกเพศทุกวัย
ไม่ใช่ภาพยนตร์มาร์เวลทุกเรื่องยึดคัมภีร์สูตรสำเร็จเป็นที่ตั้ง หนังแหกสูตรมีมาอยู่เนืองๆ ที่โดดเด่นคือ Captain America: Civil War หรือ Avengers: Infinity War ซึ่งทำรายได้สูงทั้งสองเรื่อง
แต่แน่นอนว่าการทำหนังแบบนั้นออกมาตลอดปีละหลายครั้งคงเป็นไปไม่ได้
ฉะนั้นเราจึงพบกับสูตรสำเร็จดั้งเดิมอีกใน Ant-Man and the Wasp เมื่อพระเอกผู้สวมชุดย่อ/ขยายส่วนได้มีปัญหาชีวิตรอการสะสาง เพราะนิสัยทำสิ่งที่ตนคิดว่าถูกต้องแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่ตระหนักถึงผลลัพธ์จากการกระทำจนคนรอบข้างเดือดร้อน
เขาเลยต้องเริ่มการต่อสู้ครั้งใหม่ ช่วยภารกิจกู้ภัยแม่นางเอกจากมิติลี้ลับ พร้อมกับคอยระวังไม่ให้เรื่องแหกกฎโดนกักบริเวณ, ออกนอกบ้านไปทำโน่นนี่แดงขึ้นมา เพื่อหลีกเลี่ยงการทำชีวิตตัวเองพังซ้ำอีกครั้ง
หากดูเผินๆ ขอบอกว่ามันสูตรสำเร็จมากๆ เพราะประเด็นสอดแทรกชวนขบคิดอย่างเช่น การกระทำของฮีโร่เป็นเพียงการทำตามใจตัวเองหรือไม่? การต่อสู้ช่วยเหลือผู้คนโดยขัดกฎหมายคือเรื่องผิดงั้นหรือ? ซึ่งหนังสามารถเล่นประเด็นพวกนี้ได้ เนื่องจากพระเอกทำผิดกฎหมายตอน Civil War แต่กลับไม่ถูกหยิบยกมานำเสนอเท่าไหร่
พระเอกแค่ช่วยครอบครัวนางเอกกับประคองชีวิตตัวเองให้ไม่พังเท่านั้นจริงๆ เพราะไม่มีฉากอารมณ์แบบ 'แย่แล้วโจรปล้นธนาคาร, บ้านคนไฟไหม้, ตัวร้ายไล่พังตึก ได้เวลาเสี่ยงทำชีวิตพังแล้วออกไปกู้โลกละ' อะไรทำนองนั้นเลย (...พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง...)
ไหนจะความตลกเฮฮา ปล่อยมุกสอดแทรกการดำเนินเรื่องแบบต่อเนื่อง มุกตลกบางอันเรียกว่าขาดความจำเป็น หรือแค่นึกได้เลยใส่มาด้วยซ้ำ
ตัวอย่างคือ การให้ชุดมนุษย์มดรุ่นใหม่มีปัญหาเรรวนด้านการย่อ/ขยายส่วนปรับขนาดมั่วซั่ว ส่งผลให้พระเอกติดอยู่ในร่างเล็กหรือใหญ่เกินไปเพื่อเรียกเสียงฮา ที่ใส่มาหลายครั้งโดยไม่มีผลอะไรต่อเนื้อเรื่องแบบเห็นได้ชัด
มิหนำซ้ำปัญหาและอุปสรรคอันประดังประเดเข้าหาตัวละครเป็นระยะไม่ขาดสาย ตอนท้ายเรื่องกลับแก้ได้รวดเดียวหมด ทำเอาทุกอย่างแลดูง่าย สมเป็นหนังสูตรสำเร็จ
อารมณ์ประมาณ 'ชีวิตมีปัญหานะ แต่จะแคร์ทำไม? ในเมื่อสุดท้ายทุกอย่างต้องไปได้สวย'
มันไม่มีอารมณ์ชวนลุ้นว่าตัวละครจะหาทางเอาชนะศัตรูได้ยังไง? หรือมีบทสรุปสุขใจแบบหวานอมขมกลืน เช่น แม่นางเอกกลับมาได้ แต่อาการน่าเป็นห่วง ไม่ใช่คนเดิม 100%, สงสารตัวร้ายเพราะร่างสลาย หรือบริษัทของกลุ่มเพื่อนพระเอกเจ๊งตอนจบ
ถ้าหนังมีดีเพียงการใช้สูตรสำเร็จเก่าเอามาเล่าใหม่ ต่อให้จังหวะเล่าเรื่องลื่นไหล, สนุกสนาน, ตลกขบขัน ตอบโจทย์ความบันเทิงแค่ไหน
ผมก็คงตะขิดตะขวงใจนิดหน่อยกับการให้หนังอยู่ในเกณฑ์ "ดี" ตามกระแส แต่แน่นอน, หนังเขามีดีมากกว่าสูตรสำเร็จเก่าๆ แบบนั้น
มิติควอนตัม กับตัวร้ายในหนังเป็นที่มาหลักๆ ของความสดใหม่
มิติลี้ลับนั้นขนาดหนังเล่นประเด็นนี้ประปรายทั้งเรื่อง ก็ยังไม่ค่อยเห็นภาพของมันชัดเท่าไหร่ว่าคืออะไร? มีอะไรอยู่บ้าง? แถมท่าทางใช้เปิดประเด็นเล่นเรื่องข้ามเวลา ข้ามมิติแปลกๆ เพิ่มได้ด้วย ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจตอนดูได้มาก
ด้านตัวร้ายสดใหม่เพราะพลังผ่านทะลุวัตถุมีที่มาและการคงอยู่อันเจ็บปวด ซ้ำร้ายผู้คนมากมายกลับหาทางใช้ประโยชน์ ไม่คิดช่วยเหลือ ทำให้เธอคือตัวร้ายที่ดูเหมือน 'เหยื่อ' จากการกระทำของผู้อื่น ไม่ใช่อยากทำร้ายผู้คนโดยสันดาน หรือทำเพื่ออุดมการณ์ขัดศีลธรรมใดๆ คือตัวร้ายรูปแบบใหม่ของมาร์เวลเลยละ
นอกจากชื่นชมนักแสดงที่เล่นได้ดีแล้ว ต้องชื่นชมการวางบทตัวละครด้วย เพราะการใส่ตัวละครซึ่งเป็นเสมือนพ่อของเธอไว้คอยเบรค ไม่ให้ทำเรื่องเลวร้ายเกินเหตุนั้นดีเยี่ยม
เนื่องจากหากปล่อยเธอทำเรื่องร้ายกับพร่ำบ่นเกี่ยวกับความเจ็บปวดของตัวเองรัวๆ คนดูอาจจะรำคาญแทน พาลให้ลืมสงสารเธอเอา
และ Ant-Man and the Wasp ยังใช้ข้อได้เปรียบของการสร้างจักรวาลภาพยนตร์ไว้ ช่วยเพิ่มความสดใหม่
เพราะตอนจบแท้จริงของหนังอยู่ในฉากแถมท้ายหลังหนังจบอันแรก ความจริงทุกอย่างไม่ได้จบลงสวยงามประทับใจ ครอบครัวนางเอกประสบชะตากรรมน่าเศร้า และพระเอกค้างเติ่งในมิติควอนตัมโดยไม่ทราบว่าจะออกมาได้หรือไม่? (...นี่มันหักหลังคนดู หลังจากที่คิดว่าทุกอย่างจบลงด้วยดีมีความสุขแล้วชัดๆ...)
--สรุป-- Ant-Man and the Wasp ตอบโจทย์ความบันเทิง หนังเล่าเรื่องลื่นไหล, สนุกสนาน, ตลกขบขัน หากมองเฉพาะเนื้อหาหลักของหนัง นี่คือภาพยนตร์สูตรสำเร็จสุดธรรมดาสามัญ แต่จะกลายเป็นหนังน่าประทับใจของแท้ เมื่อมองมันเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ใหญ่กว่าในจักรวาลภาพยนตร์ครับ
COMMENTS