ความรู้สึกหลังเพิ่งเดินออกจากโรงตอนดูจัสติสลีคใหม่ๆ คือชอบ+สนุกกับมันพอสมควร แต่พอย้อนทบทวนเนื้อหา+องค์ประกอบต่างๆ กลับสร้างความรู้สึกผิดหว...
ความรู้สึกหลังเพิ่งเดินออกจากโรงตอนดูจัสติสลีคใหม่ๆ คือชอบ+สนุกกับมันพอสมควร แต่พอย้อนทบทวนเนื้อหา+องค์ประกอบต่างๆ กลับสร้างความรู้สึกผิดหวังตามมารัวๆ T_T
ทว่า "The Last Jedi-ปัจฉิมบทแห่งเจได" สร้างความรู้สึกตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง คือดูเสร็จแล้วขัดใจตรงนู้นนิด ตรงนี้หน่อยตลอด จนไม่สนุกหรือชอบเท่าไหร่ แต่หลังย้อนนึกทบทวนองค์ประกอบกับเนื้อหาต่างๆ มันดันสร้างความรู้สึกประทับใจแบบย้อนหลังให้มากขึ้นเรื่อยๆ ข้ามวันมาก็ ชอบภาคนี้ เป็นอันดับสองแค่รองจาก "The Empire Strikes Back" เท่านั้น
สาเหตุที่ Last Jedi สร้างความขัดใจตอนรับชมก็คงเหมือนแฟนสตาร์วอร์สหลายคน คือภาคนี้ทำลายภาพลักษณ์ของเจไดระดับตำนาน "ลุค สกายวอล์คเกอร์" หนักมาก แม้พอเดาได้จากเนื้อหาภาคที่แล้ว (The Force Awakens) ว่าลุคคงผิดหวังในตัวเองมากพอดู(เรื่องเบน โซโล-ไคโล เรน) ถึงทิ้งทุกอย่างไปเก็บตัวคนเดียว แต่คิดไว้ว่าจะดูดีกว่านี้ เช่น ฝึกเรย์จริงจัง หรือร่วมทางกันไปสู้ปฐมภาคีพร้อมเรย์
ปรากฏว่าแค่ชี้แนวทางเรย์ไม่กี่อย่าง, ไม่ยอมร่วมทางไปสู้ปฐมภาคี แถมเรื่องเรนยังเป็นความผิดลุคจริงๆ อีกต่างหาก (ไม่ว่าจะมากหรือน้อยลุคก็ผิดจริง) ยิ่งสาเหตุที่เป็นเอามากขนาดนี้เพราะเกิดหลงตัวเองว่าเป็นเจไดระดับตำนาน-ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ยิ่งชวนขัดใจสุดๆ.....
ความขัดใจถัดมาคือเรื่องตัวละครฝ่ายต่อต้าน, การโดนไล่ต้อนเสียดูหมดทางรอดไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ทว่าเวลาตัวละครหลักพยายามหาทางรอดให้กลุ่มของตนแม้สถานการณ์สิ้นหวัง-มีความเสี่ยงสูง ถึงบ้าบิ่น-ผิดแผนแค่ไหนก็มักจะสำเร็จ-สร้างความหวัง, สร้างแรงบันดาลใจในแบบฉบับของพวก ฮีโร่ เสมอ
คราวนี้ผลลัพธ์ตรงข้ามหมด คือการเดิมพันของพวกฮีโร่สร้างความสูญเสียไม่คุ้มค่ากับชัยชนะ, แผนการล้มเหลวเกือบทำกลุ่มตัวเองพินาศ ขณะที่แผนหนีหรือเสียสละพวกพ้องที่แลดูสิ้นหวัง กลับทำให้กลุ่มของตนอยู่รอด สามารถต่อสู้-จุดประกายความหวังใหม่ต่อไปในอนาคต
ไหนจะความผิดหวังเรื่องชะตากรรมของตัวร้าย.....
สโนคหัวหน้าใหญ่ควรเก็บไว้โค่นล้มภาคถัดไป-ปิดท้ายเรื่องราว(วิธีจัดการในหนังไม่ขัดใจ, ขัดใจว่ามันไม่ควรเสร็จภาคนี้เลยมากกว่า)
หรือต่อสู้แลกชีวิตกับลุค สกายวอล์คเกอร์-เจไดในตำนานให้สมศักดิ์ศรี
กัปตันฟาสมา (Captain Phasma) สตอร์มทรูเปอร์หญิงกับเกราะพิเศษ-หักเหกระสุนพลาสมาได้ที่ปูมาเหมือนเป็นคู่ปรับฟิน ก็เสร็จเอาดื้อๆ เสียฉิบ =A=
ส่วนเรื่องชาติกำเนิดเรย์ไม่ถึงกับขัดใจ แค่นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้สักหน่อย(ไม่ต้องขนาดสโนคบอก "ข้าคือพ่อของเจ้า" หรอก :P )
เรียกว่าสเน่ห์แบบเชยๆ ขัดกับโลกแฟนตาซีล้ำยุคของสตาร์วอร์สอย่าง "เรื่องราวของเหล่าฮีโร่", "ธรรมะชนะอธรรม"(ลุคหรือเรย์ตัวแทนด้านสว่างภาคนี้พากันแสดงด้านมืดในตัวให้เห็น) หรือ "ชะตากรรมตามชาติกำเนิด" โดนทำลายเสียย่อยยับหมด
อย่างไรก็ตามความขัดใจทั้งหลาย แท้จริงคือความยึดติด หลังสละความยึดติดสูตรการเล่าเรื่องเดิมๆ หรือภาพลักษณ์ดั้งเดิมของตัวละคร(ลุค) ยอมรับความเปลี่ยนแปลง, ยอมรับความแปลกใหม่ ความประทับใจ The Last Jedi ย่อมตามมา
เมื่อคราว episode VII: The Force Awakens เรื่องราวเต็มไปด้วยสูตรการเล่าเรื่องที่ชวนรำลึกสเน่ห์ดั้งเดิมของสตาร์วอร์ส ทั้ง
- ตัวละครเก่าที่กลับมา
- องค์ประกอบเดิมๆ เช่น ดวงดาวกับเอเลี่ยนแบบใหม่ แต่ชวนให้นึกถึงภาคเก่า(แจ็คคูนี่ชวนนึกถึงทาทูอีนเอาเรื่อง)
- อาวุธร้ายแรงระดับทำลายดาว
- ตัวละครกับเรื่องราวที่สร้างความหวังครั้งใหม่ (A New Hope)
ทำให้สนุกสมใจ ทว่าขาดความสดใหม่ ไม่เหมือนการเปิดไตรภาคสตาร์วอร์สแบบ episode I หรือ episode IV
ขณะที่ The Last Jedi มีความสดใหม่สูงกว่ามาก พาคนดูไปเจอดวงดาวกับเอเลี่ยนแบบใหม่(จริงๆ) และทำลายกลุ่มต่อต้าน-ยุติบทบาทตัวละครเก่าๆ เพื่อส่งต่อเรื่องราวให้แก่ตัวละครรุ่นใหม่ในหนังภาคหน้า
ความประทับใจถัดมาคือความหมายแฝงของชื่อภาค "The Last Jedi-ปัจฉิมบทแห่งเจได" ไม่ได้หมายถึงจุดสิ้นสุดเรื่องราวของเจได, กลับกันมันคือการ"เริ่มต้นใหม่" และ "หวนคืนรากเหง้าเดิม" ของเจไดต่างหาก
แม้หนังมีรูปแบบการใช้ พลัง ใหม่ๆ เช่น
- เชื่อมโยงผูกจิตผู้อื่น(สโนคผูกจิตเรย์กับเรน)
- สร้างภาพลวงตา-ร่างแยกของตนจากระยะไกล(ลุค)
- มองเห็นเหตุการณ์-เรื่องราวของผู้อื่นอย่างชัดเจนจากที่ห่างไกล(เด็กในคอกม้าดาวคาสิโนเล่าการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของลุคให้เพื่อนฟัง ทั้งที่ไม่น่าจะรู้ได้)
ทว่าแนวคิดเรื่อง "พลัง" และ "เจได" นั้นคือการหวนคืนรากเหง้าเดิม, พลังมันอยู่รอบๆ ตัว อยู่ระหว่างทุกสิ่งทั่วทั้งจักรวาล ต่อให้ไม่มีนิกาย-อาราม-คำสอนของเจได, ต่อให้ลุค สกายวอล์คเกอร์-เจไดคนสุดท้ายจบชีวิตลง พลังก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
ความหวังที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้รักษาความสงบของกาแล็คซี่อย่างเจได-มันขึ้นอยู่กับการมีตัวตนของผู้ใช้พลังในทางที่ถูกต้อง ต่างหาก (เรย์ที่ไม่ได้มีสายเลือดพิเศษจากไหน หรือไม่ได้ฝึกวิถีเจไดจริงจังก็เป็นความหวังของจักรวาลได้ และไม่จำเป็นต้องเป็นเรย์ด้วยซ้ำ แค่มีคนใช้พลังในทางที่ถูกต้องก็พอ)
ส่วนตัวมองว่าตัวละครเอกรุ่นใหม่ 3 คน(เรย์, ฟิน, โพ) ถูกปูทางให้แทนที่รุ่นเก่า 3 คนอย่างลุค, โซโลและเลอา ในลักษณะที่
เรย์-ลุคคือ "อัศวิน" (เจได)
ฟิน-โซโลคือ "ฮีโร่" (ภาคนี้มีคนบอกว่าฟินเป็นฮีโร่ฝ่ายต่อต้าน แม้ฟินไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็น -> ตรงนี้คล้ายกับโซโลที่ชอบทำเป็นเห็นแก่ตัวแต่ก็ช่วยคนอื่นเหมือนฮีโร่อยู่เรื่อย)
และโพ-เลอาคือ "ผู้นำ" (ภาคนี้โพพยายามเป็นฮีโร่ดันทุรังสู้ แต่ผลลัพธ์ไม่สวยตลอด จนท้ายเรื่องเริ่มเปลี่ยนความคิด-รู้จักยอมถอยหนีเลิกสู้ อนาคตคงเป็นผู้นำได้)
คาดว่าแผนการณ์ในการเดินเรื่องสตาร์วอร์สไตรภาคนี้ คือยุติบทบาทโซโล, ลุคและเลอา แล้วปล่อยให้ตัวละครรุ่นใหม่ทั้งสามสร้างยุคสมัยใหม่ของสตาร์วอร์ส ตอนภาคสุดท้าย episode IX (ตอนที่ 9)
--- ดังนั้น The Last Jedi จึงไม่ได้บอกเพียงว่านี่คือบทสุดท้ายของเหล่าเจไดยุคเก่า หรือปฐมบทของเจไดยุคใหม่เท่านั้น แต่เป็นปัจฉิมบทแห่งยุคเก่าและ "ปฐมบทแห่งยุคใหม่ของสตาร์วอร์ส" ต่างหาก ---
ทว่า "The Last Jedi-ปัจฉิมบทแห่งเจได" สร้างความรู้สึกตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง คือดูเสร็จแล้วขัดใจตรงนู้นนิด ตรงนี้หน่อยตลอด จนไม่สนุกหรือชอบเท่าไหร่ แต่หลังย้อนนึกทบทวนองค์ประกอบกับเนื้อหาต่างๆ มันดันสร้างความรู้สึกประทับใจแบบย้อนหลังให้มากขึ้นเรื่อยๆ ข้ามวันมาก็ ชอบภาคนี้ เป็นอันดับสองแค่รองจาก "The Empire Strikes Back" เท่านั้น
ทำลายภาพลักษณ์เดิมๆ
สาเหตุที่ Last Jedi สร้างความขัดใจตอนรับชมก็คงเหมือนแฟนสตาร์วอร์สหลายคน คือภาคนี้ทำลายภาพลักษณ์ของเจไดระดับตำนาน "ลุค สกายวอล์คเกอร์" หนักมาก แม้พอเดาได้จากเนื้อหาภาคที่แล้ว (The Force Awakens) ว่าลุคคงผิดหวังในตัวเองมากพอดู(เรื่องเบน โซโล-ไคโล เรน) ถึงทิ้งทุกอย่างไปเก็บตัวคนเดียว แต่คิดไว้ว่าจะดูดีกว่านี้ เช่น ฝึกเรย์จริงจัง หรือร่วมทางกันไปสู้ปฐมภาคีพร้อมเรย์
ปรากฏว่าแค่ชี้แนวทางเรย์ไม่กี่อย่าง, ไม่ยอมร่วมทางไปสู้ปฐมภาคี แถมเรื่องเรนยังเป็นความผิดลุคจริงๆ อีกต่างหาก (ไม่ว่าจะมากหรือน้อยลุคก็ผิดจริง) ยิ่งสาเหตุที่เป็นเอามากขนาดนี้เพราะเกิดหลงตัวเองว่าเป็นเจไดระดับตำนาน-ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ยิ่งชวนขัดใจสุดๆ.....
ความขัดใจถัดมาคือเรื่องตัวละครฝ่ายต่อต้าน, การโดนไล่ต้อนเสียดูหมดทางรอดไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ทว่าเวลาตัวละครหลักพยายามหาทางรอดให้กลุ่มของตนแม้สถานการณ์สิ้นหวัง-มีความเสี่ยงสูง ถึงบ้าบิ่น-ผิดแผนแค่ไหนก็มักจะสำเร็จ-สร้างความหวัง, สร้างแรงบันดาลใจในแบบฉบับของพวก ฮีโร่ เสมอ
คราวนี้ผลลัพธ์ตรงข้ามหมด คือการเดิมพันของพวกฮีโร่สร้างความสูญเสียไม่คุ้มค่ากับชัยชนะ, แผนการล้มเหลวเกือบทำกลุ่มตัวเองพินาศ ขณะที่แผนหนีหรือเสียสละพวกพ้องที่แลดูสิ้นหวัง กลับทำให้กลุ่มของตนอยู่รอด สามารถต่อสู้-จุดประกายความหวังใหม่ต่อไปในอนาคต
ไหนจะความผิดหวังเรื่องชะตากรรมของตัวร้าย.....
สโนคหัวหน้าใหญ่ควรเก็บไว้โค่นล้มภาคถัดไป-ปิดท้ายเรื่องราว(วิธีจัดการในหนังไม่ขัดใจ, ขัดใจว่ามันไม่ควรเสร็จภาคนี้เลยมากกว่า)
หรือต่อสู้แลกชีวิตกับลุค สกายวอล์คเกอร์-เจไดในตำนานให้สมศักดิ์ศรี
กัปตันฟาสมา (Captain Phasma) สตอร์มทรูเปอร์หญิงกับเกราะพิเศษ-หักเหกระสุนพลาสมาได้ที่ปูมาเหมือนเป็นคู่ปรับฟิน ก็เสร็จเอาดื้อๆ เสียฉิบ =A=
ส่วนเรื่องชาติกำเนิดเรย์ไม่ถึงกับขัดใจ แค่นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้สักหน่อย(ไม่ต้องขนาดสโนคบอก "ข้าคือพ่อของเจ้า" หรอก :P )
เรียกว่าสเน่ห์แบบเชยๆ ขัดกับโลกแฟนตาซีล้ำยุคของสตาร์วอร์สอย่าง "เรื่องราวของเหล่าฮีโร่", "ธรรมะชนะอธรรม"(ลุคหรือเรย์ตัวแทนด้านสว่างภาคนี้พากันแสดงด้านมืดในตัวให้เห็น) หรือ "ชะตากรรมตามชาติกำเนิด" โดนทำลายเสียย่อยยับหมด
ยอมรับสิ่งใหม่
อย่างไรก็ตามความขัดใจทั้งหลาย แท้จริงคือความยึดติด หลังสละความยึดติดสูตรการเล่าเรื่องเดิมๆ หรือภาพลักษณ์ดั้งเดิมของตัวละคร(ลุค) ยอมรับความเปลี่ยนแปลง, ยอมรับความแปลกใหม่ ความประทับใจ The Last Jedi ย่อมตามมา
เมื่อคราว episode VII: The Force Awakens เรื่องราวเต็มไปด้วยสูตรการเล่าเรื่องที่ชวนรำลึกสเน่ห์ดั้งเดิมของสตาร์วอร์ส ทั้ง
- ตัวละครเก่าที่กลับมา
- องค์ประกอบเดิมๆ เช่น ดวงดาวกับเอเลี่ยนแบบใหม่ แต่ชวนให้นึกถึงภาคเก่า(แจ็คคูนี่ชวนนึกถึงทาทูอีนเอาเรื่อง)
- อาวุธร้ายแรงระดับทำลายดาว
- ตัวละครกับเรื่องราวที่สร้างความหวังครั้งใหม่ (A New Hope)
ทำให้สนุกสมใจ ทว่าขาดความสดใหม่ ไม่เหมือนการเปิดไตรภาคสตาร์วอร์สแบบ episode I หรือ episode IV
ขณะที่ The Last Jedi มีความสดใหม่สูงกว่ามาก พาคนดูไปเจอดวงดาวกับเอเลี่ยนแบบใหม่(จริงๆ) และทำลายกลุ่มต่อต้าน-ยุติบทบาทตัวละครเก่าๆ เพื่อส่งต่อเรื่องราวให้แก่ตัวละครรุ่นใหม่ในหนังภาคหน้า
เอเลี่ยนแบบใหม่
ดาวใหม่ ขอเรียกว่า "ดาวนาเกลือ" (ที่แดงๆ คือเกลือ)
ความประทับใจถัดมาคือความหมายแฝงของชื่อภาค "The Last Jedi-ปัจฉิมบทแห่งเจได" ไม่ได้หมายถึงจุดสิ้นสุดเรื่องราวของเจได, กลับกันมันคือการ"เริ่มต้นใหม่" และ "หวนคืนรากเหง้าเดิม" ของเจไดต่างหาก
แม้หนังมีรูปแบบการใช้ พลัง ใหม่ๆ เช่น
- เชื่อมโยงผูกจิตผู้อื่น(สโนคผูกจิตเรย์กับเรน)
- สร้างภาพลวงตา-ร่างแยกของตนจากระยะไกล(ลุค)
- มองเห็นเหตุการณ์-เรื่องราวของผู้อื่นอย่างชัดเจนจากที่ห่างไกล(เด็กในคอกม้าดาวคาสิโนเล่าการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของลุคให้เพื่อนฟัง ทั้งที่ไม่น่าจะรู้ได้)
ทว่าแนวคิดเรื่อง "พลัง" และ "เจได" นั้นคือการหวนคืนรากเหง้าเดิม, พลังมันอยู่รอบๆ ตัว อยู่ระหว่างทุกสิ่งทั่วทั้งจักรวาล ต่อให้ไม่มีนิกาย-อาราม-คำสอนของเจได, ต่อให้ลุค สกายวอล์คเกอร์-เจไดคนสุดท้ายจบชีวิตลง พลังก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
ความหวังที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้รักษาความสงบของกาแล็คซี่อย่างเจได-มันขึ้นอยู่กับการมีตัวตนของผู้ใช้พลังในทางที่ถูกต้อง ต่างหาก (เรย์ที่ไม่ได้มีสายเลือดพิเศษจากไหน หรือไม่ได้ฝึกวิถีเจไดจริงจังก็เป็นความหวังของจักรวาลได้ และไม่จำเป็นต้องเป็นเรย์ด้วยซ้ำ แค่มีคนใช้พลังในทางที่ถูกต้องก็พอ)
ส่วนตัวมองว่าตัวละครเอกรุ่นใหม่ 3 คน(เรย์, ฟิน, โพ) ถูกปูทางให้แทนที่รุ่นเก่า 3 คนอย่างลุค, โซโลและเลอา ในลักษณะที่
เรย์-ลุคคือ "อัศวิน" (เจได)
ฟิน-โซโลคือ "ฮีโร่" (ภาคนี้มีคนบอกว่าฟินเป็นฮีโร่ฝ่ายต่อต้าน แม้ฟินไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็น -> ตรงนี้คล้ายกับโซโลที่ชอบทำเป็นเห็นแก่ตัวแต่ก็ช่วยคนอื่นเหมือนฮีโร่อยู่เรื่อย)
และโพ-เลอาคือ "ผู้นำ" (ภาคนี้โพพยายามเป็นฮีโร่ดันทุรังสู้ แต่ผลลัพธ์ไม่สวยตลอด จนท้ายเรื่องเริ่มเปลี่ยนความคิด-รู้จักยอมถอยหนีเลิกสู้ อนาคตคงเป็นผู้นำได้)
คาดว่าแผนการณ์ในการเดินเรื่องสตาร์วอร์สไตรภาคนี้ คือยุติบทบาทโซโล, ลุคและเลอา แล้วปล่อยให้ตัวละครรุ่นใหม่ทั้งสามสร้างยุคสมัยใหม่ของสตาร์วอร์ส ตอนภาคสุดท้าย episode IX (ตอนที่ 9)
--- ดังนั้น The Last Jedi จึงไม่ได้บอกเพียงว่านี่คือบทสุดท้ายของเหล่าเจไดยุคเก่า หรือปฐมบทของเจไดยุคใหม่เท่านั้น แต่เป็นปัจฉิมบทแห่งยุคเก่าและ "ปฐมบทแห่งยุคใหม่ของสตาร์วอร์ส" ต่างหาก ---
สุดท้ายขอไว้อาลัยแก่ แครี่ ฟิชเชอร์ นักแสดงผู้รับบทเลอาด้วยครับ ภาคนี้บทบาทและการแสดงของเธอประทับใจจริงๆ.....
COMMENTS