เอียน แลนแคสเตอร์ เฟลมมิ่ง (Ian Lancaster Fleming) ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงค.ศ. 1908-1964 คือหน่อเนื้อเชื้อไขของตระกูลเศรษฐี ที่เป็นทั้งนักข่าว, ฝ่ายข่าวกรองของนาวิกโยธิน และนักเขียน
ขณะทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองกองทัพเรือของสหราชอาณาจักร (อังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) เฟลมมิงมีส่วนเกี่ยวข้องในการวางแผนปฏิบัติการชื่อ 'โกลเด้นอาย' ของกองทัพ
การรับราชการในช่วงสงครามและอาชีพนักข่าว ส่งผลให้ นวนิยาย 'เจมส์ บอนด์' ของเขา มีรายละเอียดเชิงลึกซึ่งน่าเชื่อถือ
เฟลมมิงเอาชื่อเจมส์ บอนด์ มาจากคนที่มีตัวตนจริง, เค้าเป็นนักปักษีวิทยาชาวอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญด้านนกแถบแคริบเบียน และผู้เขียนคู่มือภาคสนามฉบับสมบูรณ์เรื่อง Birds of the West Indies
สาเหตุที่เลือกนามนี้เพราะเฟลมมิ่งเอง ก็เป็นนักดูนกคนนึง
และ "ผมต้องการชื่อที่เรียบง่าย ทึ่ม ทื่อสุด เท่าที่หาได้, 'เจมส์ บอนด์' ดีกว่าชื่อโก้ๆ ทำนอง 'เพเรกริน คาร์รูเธอร์ส'
เพราะเขาควรเป็นขั้วตรงข้าม ของเหตุการณ์เหนือสามัญอันเกิดขึ้นรอบตัวเขา--เป็นเครื่องมือนิรนาม ซึ่งหน่วยงานรัฐใช้ทุบทำลายปัญหา"
นิยาย
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 เฟลมมิงเริ่มเขียนนวนิยายเรื่องแรกของเจมส์ บอนด์ 'Casino Royale' ที่คฤหาสน์ในจาไมก้า
ก่อนหนังสือจะขายดิบขายดีในปี 1953 และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแฟรนไชส์อมตะภายหลัง
ผลงานเกี่ยวกับสายลับ 007 ผู้สังกัดหน่วยสืบราชการลับ MI6 (Military Intelligence, Section 6) จากปลายปากกาเฟลมมิง
มีนิยายทั้งสิ้น 12 เล่ม และหนังสือรวมเรื่องสั้น 2 เล่ม, โดยผลงานสองชิ้นสุดท้าย ตีพิมพ์หลังเจ้าตัวเสียชีวิต ตามรายการต่อไปนี้
1953 - Casino Royale
1954 - Live and Let Die
1955 - Moonraker
1956 - Diamonds Are Forever
1957 - From Russia, with Love
1958 - Dr. No
1959 - Goldfinger
1960 - For Your Eyes Only (รวมเรื่องสั้น)
1961 - Thunderball
1962 - The Spy Who Loved Me
1963 - On Her Majesty's Secret Service
1964 - You Only Live Twice
1965 - The Man with the Golden Gun
1966 - Octopussy and The Living Daylights (รวมเรื่องสั้น)
เอียน เฟลมมิง
อนึ่ง "For Your Eyes Only" ประกอบด้วยเรื่องสั้น
From a View to a Kill,
For Your Eyes Only,
Quantum of Solace,
Risico,
The Hildebrand Rarity
"Octopussy and The Living Daylights" ประกอบด้วยเรื่องสั้น
Octopussy,
The Living Daylights,
The Property of a Lady,
007 in New York
ค่ายอีออนโปรดัคชั่นส์ (Eon Productions) ซึ่งคือผู้ผลิตหลักของภาพยนตร์ชุดเจมส์ บอนด์
หยิบยกชื่อ หรือองค์ประกอบต่างๆ ใน (เรื่องสั้น) ไปดัดแปลงเป็นหนังอยู่เนือง ๆ
นักเขียนนิยายอีกมากหน้าหลายตา ยังคงผลิตนิยายเจมส์ บอนด์ออกมาต่อเนื่องจวบจนปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีแค่การผจญภัยตามปกติ (แต่เป็นตอนใหม่) ของยอดสายลับเท่านั้น
เพราะเคยมีภาควัยรุ่น (Young Bond) ที่จินตนาการถึงการผจญภัยของบอนด์สมัยยังอายุไม่ถึง 20 (เล่มแรกเขาอายุแค่ 13)
กับภาคแยกของมันนีเพนนี (เลขาฯ ส่วนตัวของ M/เจ้านายบอนด์) ด้วย
Young Bond ประพันธ์ขึ้นโดยชาร์ลี ฮิกสัน, มีนิยาย 5 เล่มกับ 1 เรื่องสั้น วางขายตั้งแต่ค.ศ. 2005-2009 ก่อนจบชุดชั่วคราว
และสตีฟ โคล มาสานต่อเนื้อหาอีกครั้งในปี 2014 จวบจนปัจจุบัน
ผลงานบางเล่มถูกนำไปดัดแปลงเป็นนิยายภาพ (คอมมิค)
ส่วน The Moneypenny Diaries มีนิยาย 3 เล่ม วางขายปี 2005-2008
ซีรีส์
ช่องโทรทัศน์ CBS จ่ายเอียน เฟลมมิ่ง 1,000 ดอลลาร์ เมื่อค.ศ. 1954 (ประมาณ 300,000 บาทไทยในปัจจุบัน) ค่าเปลี่ยน Casino Royale เป็นตอนหนึ่งของซีรีส์ ที่ใช้เวลาออกอากาศ 1 ชั่วโมง
แบรี่ เนลสัน (Barry Nelson) เลยได้สวมบทบอนด์เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ เพื่อปะทะวายร้าย/เลอ ชีฟร์ (Le Chiffre) บนจอแก้ว
ซีรีส์ Climax! ของ CBS ออกอากาศหลายปี มีเนื้อหานับร้อยตอน, นอกจาก Casino Royale ก็มีเอานิยายเรื่องอื่น มาดัดแปลงอยู่บ้าง
คอมมิค
Daily Express ติดต่อเอียน เฟลมมิ่ง เพื่อขอปรับเรื่องราวของเขาให้เป็นการ์ตูนช่องสั้นๆ บนหนังสือพิมพ์ และได้ตีพิมพ์ในปี 1958
แต่นิยายภาพของเจมส์ บอนด์เพิ่งมา หลังความสำเร็จของหนังโรงเรื่องแรก ตอนค.ศ. 1962
ยุคแรกๆ คอมมิค 007 มีแค่เวอร์ชั่น ที่ดัดแปลงภาพยนตร์สู่สื่อสิ่งพิมพ์
ก่อนจะเริ่มมีฉบับที่แต่งเนื้อเรื่องขึ้นใช้เอง ณ ช่วงกลางยุค 1990s
แล้วพัฒนาสู่จุดที่ James Bond Origin (2018) สำรวจประวัติบอนด์ สมัยอายุ 17 ในสงครามโลกครั้งที่ 2
และออกภาคแยกของเหล่าตัวละครสมทบ อย่างเฟลิกซ์ เลเทอร์/Felix Leiter (2017), มันนี่เพนนี/Moneypenny (2017), เอ็ม/M (2018) ตามลำดับ
หนัง
- ของอีออนโปรดักชั่นส์
อีออนหยิบนิยายเอียน เฟลมมิ่งเล่ม Dr. No ไปทำภาพยนตร์คนแสดงฉายปี 1962
ฌอน คอนเนอรี่ คือดารานำ, เขารับบท 007 ต่อในหนังค่ายเดียวกันอีก 4 เรื่อง เรื่อยไปถึงปี 1967
แล้วจอร์จ ลาเซนบี้ ก็แทนที่เขาใน On Her Majesty's Secret Service (1969) แต่เสียงตอบรับของผู้ชมไม่ดีพอ
จนฌอน ถูกสตูดิโอเรียกกลับมาอีกรอบ ใน Diamonds Are Forever (1971)
แม้ฌอน คอนเนอรี่คือภาพจำอันยากแทนที่ สำหรับคนดูในยุคแรก
แต่โรเจอร์ มัวร์ คือชายผู้ท้าทายความต้องการของผู้ชมได้สำเร็จ
โรเจอร์ มัวร์ รั้งตำแหน่ง 007 ยาว 7 เรื่อง ตั้งแต่ค.ศ. 1973-1985
ก่อน ธิโมธี ดาลตัน จะมาเล่นหนังบอนด์แทน 2 ภาค (1987-1989)
เกิดสุญญากาศด้านผลงานใหม่นาน 6 ปี กว่าที่เพียร์ซ บรอซแนน จะปรากฏกายา ณ GoldenEye (1995) แล้วเล่นต่ออีก 3 เรื่องถึงเมื่อค.ศ. 2002
จากนั้นคุณแดเนียล เคร็ก จึงเปิดตัวในผลงานยกเครื่องใหม่ของแฟรนไชส์อย่าง Casino Royale (2006)
ที่ไม่เหมือนหนังเน้นจบในตอนแบบรุ่นพี่ ๆ เพราะคราวนี้เนื้อหาของภาพยนตร์แต่ละเรื่อง เชื่อมโยงกันชัดเจนขึ้นมาก
แดเนี่ยล เคร็ก สวมวิญญาณบอนด์ออกวาดลวดลายในหนังมาแล้ว ทั้งหมด 4 เรื่อง
No Time to Die อันคาดว่าจะเป็นสถานีปลายทางของเขา คือเรื่องที่ 5
- ไม่ใช่ของอีออน
นอกจากหนัง 25 เรื่องของอีออนที่จองกฐินกับ 007 ยาว ยังมีภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ของสตูดิโออื่น อีก 2 เรื่อง
[1] Casino Royale (1967) ซึ่งเล่นแร่แปรธาตุ เปลี่ยนบอนด์เป็นตัวเอก 'หนังตลก'
ดาราชาย เดวิด ไนเวน (David Niven) คือเซอร์ เจมส์ บอนด์ ผู้มี 'ลูกสาว' ชื่อมาตา บอนด์ (แม่ของเธอคือมาตา ฮารี, จารชนหญิงที่มีตัวตนจริง วีรกรรมโดดเด่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1)
เซอร์ เจมส์ บอนด์
[2] Never Say Never Again (1983) ที่เอา Thunderball ซึ่งอีออนเคยผลิตฉบับภาพยนตร์ไว้เมื่อปี 1965 มารีเมค
แถมเรียก ฌอน คอนเนอรี่ มารับบทบอนด์ เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขาด้วย
เกม
สายลับพยัคฆ์ร้ายกลายเป็นตัวละครให้ผู้เล่นควบคุมครั้งแรก ในเกมแนวยิงมุมมองด้านข้าง (scrolling shooter) เมื่อค.ศ. 1983
'James Bond 007' ลงเครื่องเล่นของอาตาริ (Atari) พร้อมภาพกราฟิกความละเอียดต่ำตามยุคสมัย (8 บิต)
แล้วก็มีหลากค่ายผลิต ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเกมของจารชนชื่อก้อง ออกมาอีกหลายแบบ
GoldenEye 007 (1997) ของนินเทนโด ดัดแปลงองค์ประกอบจากภาพยนตร์ชื่อพ้องกัน เป็นเกมยิงมุมมองบุคคลที่ 1 ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมล้นหลาม
หลังจากนั้นก็มีทั้งเกมที่เกาะกระแสหนัง, พัฒนากราฟิก, หรือคิดเนื้อเรื่องของตัวเองออกมาเรื่อย ๆ
แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าหลัง Golden Eye 007 ยังไม่มีเกมพยัคฆ์ร้ายอันไหน โดดเด่นสะดุดตาอีกยันทุกวันนี้
COMMENTS