ตอนมีข่าวจอร์จ ลูคัสขายบริษัทปี 2012 คงมีคนหวังจะเห็นบทสรุปมหากาพย์ตามวิสัยทัศน์ของเขาบ้าง แต่ก็อย่างที่รู้กันทีหลังแหละว่าดิสนีย์ไม่สนใจเรื...
ตอนมีข่าวจอร์จ ลูคัสขายบริษัทปี 2012 คงมีคนหวังจะเห็นบทสรุปมหากาพย์ตามวิสัยทัศน์ของเขาบ้าง แต่ก็อย่างที่รู้กันทีหลังแหละว่าดิสนีย์ไม่สนใจเรื่องนั้น และหนังภาค 7-9 ถูกสร้างโดยไม่ใช้ไอเดียของเขา
ลูคัสไม่ค่อยยอมปริปากบอกอะไร นอกจากแนวคิดเรื่องสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเป็นพระเจ้าในโลกของสตาร์วอร์ส แต่หากคุณยังสนใจวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของเขา และอยากรู้เรื่องราวเพิ่มเติม
เมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งมีนักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ (คนแรก และเป็นเลิศด้านนี้) ชื่อพอล ดันแคน (Paul Duncan) หยิบเอาข้อมูลที่แอบเก็บรวบรวมอยู่นาน มาทำหนังสือชื่อ สารบรรณสตาร์วอร์สฉบับค.ศ.1999-2005 (The Star Wars Archives: 1999-2005) ขาย
สารบรรณเล่มนี้หนาประมาณ 600 หน้า รวมข้อมูลทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตภาพยนตร์ไตรภาคต้น (Episode I-III) แถมพกด้วยข้อมูล Ep.7-9 ซึ่งลูคัสเคยเผยไว้อีกนิดหน่อย
และทางเว็บไซต์ Polygon ก็นำบางประเด็นมาเปิดเผยให้ทราบ ประมาณนี้ครับ
ดาร์ธ มอลถูกกำหนดให้เป็นบอสฝั่งผู้ร้ายของ Ep.VII-IX
คงทราบกันแล้วว่ากะอีแค่การโดนฟันตัวขาดครึ่งน่ะ หยุดนักรบซิธผู้นี้มิได้ เพราะมอลที่ร่างกายท่อนล่างเป็นเครื่องจักร ปรากฏตัวในฉากหนึ่งของ Solo: A Star Wars Story แต่ใช่ว่าไอเดียนี้ดิสนีย์/ลูคัสฟิล์ม ด้นสดแบบไร้ที่มา
เพราะซิธลอร์ดหญิงชื่อดาร์ธ ทาลอน (Darth Talon) ผู้ปรากฏตัวในคอมมิค Star Wars: Legacy (เนื้อหาเสริมยุค Legends)
คือตัวละครที่ลูคัสเคยเห็นว่าหยิบมารีไซเคิล ใช้เป็นวายร้ายใหม่ในหนัง ออกอาละวาดร่วมกับท่านมอลได้ น่าจะดี
ลูคัสเคยพูดว่า "มอลกลายเป็นเจ้าพ่อแห่งอาชญากรรมประจำจักรวาล เพราะเทกโอเวอร์อำนาจต่อ จากจักรวรรดิที่พินาศ" ส่วนทาลอนก็เหมือนดาร์ธ เวเดอร์ของไตรภาคจบ
ดาร์ธ ทาลอน
เลอาต่างหากคือบุคคลตามคำทำนาย
ลูคัสอยากให้เนื้อหาไตรภาคจบทันสมัย โดยใช้เหตุการณ์ในโลกความจริงเป็นแรงบันดาลใจ
โดยเจ้าหญิงเลอากับลุค สกายวอล์คเกอร์ที่ยังเป็นตัวละครนำ จะต้องผจญปัญหาชีวิตต่อ เพราะการสร้างรัฐบาลกับภาคีเจไดใหม่นั้น "ยากกว่าก่อกบฏหรือออกรบในสมรภูมิ"
แหล่งอ้างอิงไม่ใช่อะไรนอกจากสงครามอิรัก และสตอร์มทรูเปอร์ก็มีศักยภาพจะกลายเป็นองค์กรก่อการร้ายชื่อดัง ในลักษณะเดียวกันกับพวก ISIS
สูญญากาศทางอำนาจหลังจักรวรรดิล่ม ส่งผลให้มอลรุ่งเรือง
แต่เลอาก็ยังดิ้นรนต่อสู้ จนก่อตั้งสาธารณรัฐใหม่สำเร็จและได้ดำรงตำแหน่งสมุหนายก
ในท้ายที่สุดหล่อนจึงเป็น 'the chosen one' ผู้ถูกเลือกตามคำทำนาย ที่นำสมดุลมาคืนให้กาแล็คซี่นั่นเอง
เหตุผลที่วิลส์ไม่เคยปรากฏในภาพยนตร์
ลูคัสตั้งใจให้วิลส์ (Whills) สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เกี่ยวข้องกับ 'พลัง' ซึ่งพวกเจไดศรัทธา ราวกับพวกมันเป็นพระเจ้าผู้กำหนดชะตาของจักรวาล
และต้องการเกริ่นเรื่องวิลส์ไว้บ้างในภาพยนตร์ไตรภาคต้น
แต่ลงท้ายก็ไม่เอา เพราะเสียงตอบรับด้านลบอย่างหนาหู ที่ผู้ชมมีต่อมิดิ-คลอเรี่ยนส์/ตัวชี้วัดคุณภาพการเชื่อมต่อกับพลัง ในหนังภาค Episode I
โดยพล็อตดั้งเดิมคือ วิลส์มีความเชื่อมโยงทางชีวภาพกับมิดิ-คลอเรี่ยนส์ และพวกมันสั่งมิดิ-คลอเรี่ยนส์ให้สร้างอนาคินขึ้น
พ่อตัวจริงของอนาคิน
แม้ในยุคดิสนีย์เรื่องนี้ยังคงคลุมเครือ แต่จากบทร่างเก่าๆ ของ Revenge of the Sith ทำให้คิดได้ว่า
ลูคัสเองก็เคยมีชั่วขณะ ที่อยากให้ดาร์ธ ซีเดียส เป็นผู้สร้างอนาคิน
เพราะบทพูดที่ซีเดียสบอกอนาคินว่า "ข้าเฝ้ารอให้เจ้าเติมเต็มชะตาของตัวเองมาหลายปี" มันตามด้วย "ข้าเคยใช้พลังชี้นำมิดิ-คลอเรี่ยนส์ เพื่อเริ่มต้นการจัดระเบียบเซลล์ของสิ่งมีชีวิต"
คุณกำลังจะทำลายแฟรนไชส์
ย้อนกลับไปเมื่อตอนลูคัสบอกสตูดิโอจิ้งจอกศตวรรษที่ยี่สิบ (20th Century Fox) ว่าขอสร้างเรื่องราวที่เล่าว่า อนาคินกลายเป็นดาร์ธ เวเดอร์ได้ยังไง คนในสตูดิโอตื่นเต้นเป็นเจ้าเข้าหมด
แต่พอเขาเสริมด้วยข้อมูล ในหนังภาคแรกอนาคินจะเป็นเด็กน้อยน่ารัก อายุอานามแค่ 10 ขวบ ก็โดนสวดยับแทน "คุณกำลังจะทำลายแฟรนไชส์ และทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง!"
ลูคัสอธิบายกับคนของเขาในบริษัทลูคัสฟิล์ม ว่าตัวเอง "จะสร้างหนังที่ไม่มีใครอยากดู" แต่ยังขอทำอยู่ดีเพราะไม่คิดจะเล่าเรื่องราวแบบเดิมซ้ำซาก
(อย่างไรก็ตาม สุดท้ายรายรับรวมทั่วโลกของ The Phantom Menace คือประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์)
ไอเดียเก่าเรื่องฮาน โซโล
ฮาน โซโลมีหนังของตัวเองฉายเมื่อปี 2018 (Solo: A Star Wars Story) แต่ความจริงลูคัสเคยนึกจะให้ตัวละครนี้โผล่ใน Revenge of the Sith เหมือนกัน
โดยเขาจะกำลังอาศัยอยู่บนดาวคาชี้ค (Kashyyyk) ของพวกวู้กกี้ส์ (Wookiees) และมีโอกาสช่วยโยดาในสงครามโคลน
อย่างไรก็ตาม ลูคัสมองว่าไอเดียนี้ไม่เข้าท่า และกำจัดทิ้งจากสารบบภายหลัง
ความสำคัญของสมาคมพ่อค้า ผู้คอร์รัปชั่น
ลูคัสเห็นแต่ไกลว่าคนดูจะไม่พอใจที่ Episode I เริ่มต้นด้วยข้อพิพาททางการค้าและการปิดกั้นดวงดาว
แต่เขาประกาศกร้าวว่า "นี่แหละจุดเริ่มของสงคราม"
การที่องค์กรใน The Phantom Menace สนเพียงเรื่องเงินๆ ทองๆ แบบไม่แคร์ความถูกต้อง
ทว่าผู้ดูแลปัญหาทุกฝ่าย กลับไม่สามารถแก้ไขเหตุการณ์ได้ นั่นแหละต้นตอของความขัดแย้งครั้งใหญ่
ธีมหลักของภาพยนตร์ไตรภาคต้นมี 2 อย่าง นั่นคือทำไมบางคนถึงยอมกลายเป็นคนชั่ว และแสดงว่าเพราะเหตุใดประชาธิปไตยจึงล่มสลายได้ ด้วยความพร้อมใจของผู้คน
"ไม่มีทั้งรัฐประหาร, การต่อต้าน หรืออะไรทั้งนั้น ทุกคนโหวตเลือกมัน เฉกเช่นเดียวกันกับในโลกแห่งความจริง"
COMMENTS