แต่ไหนแต่ไรมา นอกจากภาพยนตร์ภาคแรกสุดที่ดัดแปลงเนื้อหาจากนิยาย; แฟรนไชส์แรมโบ้ไม่เคยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเหล่านักวิจารณ์อยู่แล้ว (อ...
แต่ไหนแต่ไรมา นอกจากภาพยนตร์ภาคแรกสุดที่ดัดแปลงเนื้อหาจากนิยาย; แฟรนไชส์แรมโบ้ไม่เคยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเหล่านักวิจารณ์อยู่แล้ว (อ้างอิงจาก rottentomatoes เว็บรวมคะแนนวิจารณ์ชื่อดัง)
สาเหตุคงเป็นเพราะตั้งแต่ภาค 1 ซึ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อทหารผ่านศึกอย่างไม่ยุติธรรม
หลังจากนั้นเป็นต้นมา, จะหนังภาคไหนก็หาได้สะท้อนสภาพสังคม (อเมริกา) ตามยุคสมัย หรือทิ้งประเด็นชวนขบคิดไว้มากเท่าภาค 1 อีกไม่
ส่วนตัวมองว่าจุดขายของภาพยนตร์ชุดนี้ตั้งแต่ภาค 2-4 มีสามอย่าง
[1] ตัวละครทหารผ่านศึกประสาทหลอนสุดแกร่งแบบแรมโบ้
[2] ฉากลอบเร้นแทรกซึมเข้ารังศัตรู
[3] ฉากต่อสู้ทำสงครามสุดระห่ำ+รุนแรงโหดสะใจ
คาดว่าทั้งผู้ชมขาจรไม่เคยดูภาคอื่นแต่อยากลองของ และผู้ตามแฟรนไชส์อยู่จะประเมินความพอใจจากจุดขาย 3 ประการดังกล่าวกัน
ซึ่งต้องขอบอกว่าหากประเมินตามภาพรวม 3 หัวข้อนี้, ภาพยนตร์ภาค 5 หาได้ตอบสนองความคาดหวังสำเร็จไม่
และนี่เองคือสาเหตุที่ผมต้องระบุว่า Rambo 5 คือ ภาคต่อที่แย่
การเสียเวลาปูทางเนื้อหาก่อนสักครึ่งชั่วโมง จนช่วงต้นชวนง่วงยามรับชม น่าจะถือเป็นเรื่องปกติสำหรับภาพยนตร์ชุดแรมโบ้
สูตรเล่าเรื่องหลักของแฟรนไชส์มักเป็นการปูเนื้อหา, บู๊ประปราย, ลอบเร้นเข้าค่ายศัตรู ก่อนตูมตามสะใจในช่วงท้ายเสมอๆ
หนังภาค 5 บกพร่องด้านความสะใจ, หลังเด็กสาวที่แรมโบ้ผูกพันโดนแก๊งค์ค้ามนุษย์ลักพาตัว
แรมโบ้ก็ดันห่วงเธอจนเดินเข้าไปโดนสหบาทาเต็มๆ แบบไร้ทางสู้
แถมฉากเอาคืนช่วงท้ายแม้จะตูมตามใช่ย่อย แต่ส่วนใหญ่คือใช้กับดักหรือลอบโจมตี
เรียกว่าผิดวิสัยปกติของแรมโบ้น่าดู และเชื่อว่าผู้ชมที่หวังความบันเทิงจากฉากบู๊ตามสไตล์หนังชุดนี้อยู่นั้น จะต้องผิดหวังเช่นเดียวกันแน่
ผมมองว่าภาค 5 ยังมีอีกข้อเสียนึงอยู่, คือเรื่องของแก๊งค์ค้ามนุษย์จืดชืดน่าเบื่อ โผล่มาบนจอแต่ละทีนี่ ราวกับต้องการให้คนดูรู้ว่าพวกข้าเลวและไม่มีใครกล้าแหยมเท่านั้น
เทียบกับเกรียนชาวอเมริกา (นายอำเภอผู้หาเรื่องแรมโบ้ตอนภาค 1)
หรือเหล่าตัวละคร 'สุดโต่ง' แบบทหารคลั่งสงครามที่เป็นฝ่ายตรงข้าม โผล่มาโชว์ความบ้ารอให้แรมโบ้ฆ่าช่วงท้ายเรื่องตลอด (ภาค 2-4) ไม่ได้
เวลาหนังเล่าเรื่องฝ่ายแก๊งค์ค้ามนุษย์ จึงรู้สึกมันขาดแรงดึงดูดให้ติดตาม และรู้สึกอยากให้ข้ามไปฉากหน้าไวๆ
แม้ข้อเสียไล่เรียงได้หลายย่อหน้า, ทว่า Rambo: Last Blood ยังมีองค์ประกอบที่ดีงามแทรกอยู่ภายในบ้าง
เลยเป็นภาพยนตร์ ภาคจบที่เยี่ยม ไม่ทำให้ผิดหวังขนาดรู้สึกว่าเราเสียเวลาดูมันทำไม(วะ) และประทับใจพอสมควร
หากเคยดูแรมโบ้มาทุกภาค, มองข้ามความน่าผิดหวังต่างๆ ดังที่กล่าวมาไป และพิเคราะห์เนื้อในอันเป็นองค์ประกอบหลักของหนังอย่าง 'บท' ให้ดีๆ
จะทราบว่าทำไมคะแนนฝั่งผู้ชมของ Last Blood ในเว็บ rottentomatoes ถึงสูงครับ (ตอนทำบทความ ผู้ชมกว่า 83% ชอบหนัง)
เพราะสำหรับจุดขายข้อ [1] ซึ่งก็คือตัวละคร 'แรมโบ้' นั้น, Last Blood ตอบสนองมันให้แฟนๆ ได้ตามความต้องการ
แรมโบ้คือคนที่ชีวิตมีปัญหาเรื้อรังเนื่องจากเคยผ่านสงครามเวียดนาม
อาการประสาทหลอนของเขาเป็นดั่งโรคร้ายที่ไม่มีวันรักษาหาย
ไม่ว่าเดิมทีเขาคือคนแบบไหน, สงครามก็ทำให้เขาไม่มีวันกลับเป็นเช่นเดิม
แรมโบ้เบื่อหน่ายสงคราม, สิ้นหวังในคุณงามความดีของเพื่อนมนุษย์
แม้ตอนหนังภาค 4 เขายอมรับตัวตนในฐานะ 'นักฆ่า' ของตัวเองได้ และกลับสู่บ้านเกิด
แต่นั่นแค่การยอมรับตัวเอง ใช่ว่าเขาเลิกสิ้นหวังในตัวเพื่อนมนุษย์สักหน่อย
แรมโบ้ได้รับรู้ว่า 'ความดีมันมีอยู่จริง' เมื่อพบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้า และความหวังในตัวเพื่อนมนุษย์ของเค้าก็กลับมา
เมื่อทราบว่าเธอโดนแก๊งค์ค้ามนุษย์ลักพาตัว เขาจึงเป็นห่วงถึงขึ้นคิดอะไรไม่ออก เดินเข้าไปให้พวกมันสหบาทาเหมือนคนโง่
ซึ่งถ้ายังหนุ่มอยู่เหตุการณ์อาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่อย่าลืมว่าทหารผ่านศึกคนนี้ชราแค่ไหน (ดาราผู้รับบท/ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน อายุ 73 แล้ว)
และเมื่อทราบว่าคำพูดไม่อาจทำให้ได้ตัวเธอคืน, แรมโบ้จึงกลับไปใช้วิธีฆ่าไม่เลี้ยงอีกครั้ง แม้เขาไม่แข็งแกร่งดั่งเช่นที่เคยเป็นมาแล้ว
อย่างที่เห็นว่าบทหนังมอบแรงจูงใจอันเหมาะสมทีเดียว สำหรับการดึงเอาตัวละครนักบู๊ผู้เกษียณแล้วกลับสู่สังเวียน
แม้เขาแสวงหาความสงบสุขมานาน และการกลับมาต่อสู้อาจหมายถึงจุดจบของชีวิตไม้ใกล้ฝั่งอย่างเค้า
แรมโบ้ต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีสู้แบบใหม่ (เน้นวางกับดัก+ลอบโจมตี) เนื่องจากสมองยังทำงานดี แต่ร่างกายไม่ฟิตปั๋งเหมือนเก่า
เรียกว่าทางผู้สร้างเข้าใจตัวละครดีมาก ถึงนำเสนอ Last Blood ออกมาในลักษณะนี้
ทว่าการทำเช่นนี้เปรียบเหมือนดาบสองคม, การเน้นไปที่บทสรุปชีวิตแรมโบ้ของ Last Blood ทำให้มีแต่คนเคยดูทุกภาคนั่นแหละถึงจะประทับใจ
แต่ไม่ใช่แฟนประจำทุกคนจะประทับใจกับการขายบทสรุปสวยๆ ของตัวละคร จนลดทอนความมันส์มากไปอยู่ดี
Rambo ใช่ว่ามีคนนิยมชมชอบในวงกว้างระดับเดียวกับพวกตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ หรือสายลับ 007 ผู้โด่งดังค้ำฟ้า
Rambo ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มกว่า แถมขายความรุนแรงระดับ 18+ กับฉากบู๊มาตลอดตั้งแต่ภาค 2
ยิ่งเหลือแค่แฟนประจำบางคนเท่านั้นที่ประทับใจกับมัน, การจะบอกว่า Last Blood เป็นหนังดีที่อยากแนะนำให้ดูกัน มันก็ช่างยากนัก...
สรุป Rambo: Last Blood มอบบทสรุปอันน่าประทับใจ ให้ตัวละครที่โลดแล่นบนแผ่นฟิล์มนานหลายสิบปี
แต่นี่ไม่ใช่หนังสำหรับผู้ชมหน้าใหม่ที่ไม่เคยดู Rambo ภาคไหน และคงไม่ใช่หนังที่แฟนประจำทุกคนจะชอบใจ
หากใครยังไม่รับชมแล้วอยากลองของ ขอแนะนำให้ไปหาภาคเก่าดูครบๆ ก่อน และอย่าตั้งความหวังอะไรไว้มากก่อนสัมผัสมัน
สาเหตุคงเป็นเพราะตั้งแต่ภาค 1 ซึ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อทหารผ่านศึกอย่างไม่ยุติธรรม
หลังจากนั้นเป็นต้นมา, จะหนังภาคไหนก็หาได้สะท้อนสภาพสังคม (อเมริกา) ตามยุคสมัย หรือทิ้งประเด็นชวนขบคิดไว้มากเท่าภาค 1 อีกไม่
ส่วนตัวมองว่าจุดขายของภาพยนตร์ชุดนี้ตั้งแต่ภาค 2-4 มีสามอย่าง
[1] ตัวละครทหารผ่านศึกประสาทหลอนสุดแกร่งแบบแรมโบ้
[2] ฉากลอบเร้นแทรกซึมเข้ารังศัตรู
[3] ฉากต่อสู้ทำสงครามสุดระห่ำ+รุนแรงโหดสะใจ
คาดว่าทั้งผู้ชมขาจรไม่เคยดูภาคอื่นแต่อยากลองของ และผู้ตามแฟรนไชส์อยู่จะประเมินความพอใจจากจุดขาย 3 ประการดังกล่าวกัน
ซึ่งต้องขอบอกว่าหากประเมินตามภาพรวม 3 หัวข้อนี้, ภาพยนตร์ภาค 5 หาได้ตอบสนองความคาดหวังสำเร็จไม่
และนี่เองคือสาเหตุที่ผมต้องระบุว่า Rambo 5 คือ ภาคต่อที่แย่
การเสียเวลาปูทางเนื้อหาก่อนสักครึ่งชั่วโมง จนช่วงต้นชวนง่วงยามรับชม น่าจะถือเป็นเรื่องปกติสำหรับภาพยนตร์ชุดแรมโบ้
สูตรเล่าเรื่องหลักของแฟรนไชส์มักเป็นการปูเนื้อหา, บู๊ประปราย, ลอบเร้นเข้าค่ายศัตรู ก่อนตูมตามสะใจในช่วงท้ายเสมอๆ
หนังภาค 5 บกพร่องด้านความสะใจ, หลังเด็กสาวที่แรมโบ้ผูกพันโดนแก๊งค์ค้ามนุษย์ลักพาตัว
แรมโบ้ก็ดันห่วงเธอจนเดินเข้าไปโดนสหบาทาเต็มๆ แบบไร้ทางสู้
แถมฉากเอาคืนช่วงท้ายแม้จะตูมตามใช่ย่อย แต่ส่วนใหญ่คือใช้กับดักหรือลอบโจมตี
เรียกว่าผิดวิสัยปกติของแรมโบ้น่าดู และเชื่อว่าผู้ชมที่หวังความบันเทิงจากฉากบู๊ตามสไตล์หนังชุดนี้อยู่นั้น จะต้องผิดหวังเช่นเดียวกันแน่
ผมมองว่าภาค 5 ยังมีอีกข้อเสียนึงอยู่, คือเรื่องของแก๊งค์ค้ามนุษย์จืดชืดน่าเบื่อ โผล่มาบนจอแต่ละทีนี่ ราวกับต้องการให้คนดูรู้ว่าพวกข้าเลวและไม่มีใครกล้าแหยมเท่านั้น
เทียบกับเกรียนชาวอเมริกา (นายอำเภอผู้หาเรื่องแรมโบ้ตอนภาค 1)
หรือเหล่าตัวละคร 'สุดโต่ง' แบบทหารคลั่งสงครามที่เป็นฝ่ายตรงข้าม โผล่มาโชว์ความบ้ารอให้แรมโบ้ฆ่าช่วงท้ายเรื่องตลอด (ภาค 2-4) ไม่ได้
เวลาหนังเล่าเรื่องฝ่ายแก๊งค์ค้ามนุษย์ จึงรู้สึกมันขาดแรงดึงดูดให้ติดตาม และรู้สึกอยากให้ข้ามไปฉากหน้าไวๆ
แม้ข้อเสียไล่เรียงได้หลายย่อหน้า, ทว่า Rambo: Last Blood ยังมีองค์ประกอบที่ดีงามแทรกอยู่ภายในบ้าง
เลยเป็นภาพยนตร์ ภาคจบที่เยี่ยม ไม่ทำให้ผิดหวังขนาดรู้สึกว่าเราเสียเวลาดูมันทำไม(วะ) และประทับใจพอสมควร
หากเคยดูแรมโบ้มาทุกภาค, มองข้ามความน่าผิดหวังต่างๆ ดังที่กล่าวมาไป และพิเคราะห์เนื้อในอันเป็นองค์ประกอบหลักของหนังอย่าง 'บท' ให้ดีๆ
จะทราบว่าทำไมคะแนนฝั่งผู้ชมของ Last Blood ในเว็บ rottentomatoes ถึงสูงครับ (ตอนทำบทความ ผู้ชมกว่า 83% ชอบหนัง)
เพราะสำหรับจุดขายข้อ [1] ซึ่งก็คือตัวละคร 'แรมโบ้' นั้น, Last Blood ตอบสนองมันให้แฟนๆ ได้ตามความต้องการ
แรมโบ้คือคนที่ชีวิตมีปัญหาเรื้อรังเนื่องจากเคยผ่านสงครามเวียดนาม
อาการประสาทหลอนของเขาเป็นดั่งโรคร้ายที่ไม่มีวันรักษาหาย
ไม่ว่าเดิมทีเขาคือคนแบบไหน, สงครามก็ทำให้เขาไม่มีวันกลับเป็นเช่นเดิม
แรมโบ้เบื่อหน่ายสงคราม, สิ้นหวังในคุณงามความดีของเพื่อนมนุษย์
แม้ตอนหนังภาค 4 เขายอมรับตัวตนในฐานะ 'นักฆ่า' ของตัวเองได้ และกลับสู่บ้านเกิด
แต่นั่นแค่การยอมรับตัวเอง ใช่ว่าเขาเลิกสิ้นหวังในตัวเพื่อนมนุษย์สักหน่อย
แรมโบ้ได้รับรู้ว่า 'ความดีมันมีอยู่จริง' เมื่อพบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้า และความหวังในตัวเพื่อนมนุษย์ของเค้าก็กลับมา
เมื่อทราบว่าเธอโดนแก๊งค์ค้ามนุษย์ลักพาตัว เขาจึงเป็นห่วงถึงขึ้นคิดอะไรไม่ออก เดินเข้าไปให้พวกมันสหบาทาเหมือนคนโง่
ซึ่งถ้ายังหนุ่มอยู่เหตุการณ์อาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่อย่าลืมว่าทหารผ่านศึกคนนี้ชราแค่ไหน (ดาราผู้รับบท/ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน อายุ 73 แล้ว)
และเมื่อทราบว่าคำพูดไม่อาจทำให้ได้ตัวเธอคืน, แรมโบ้จึงกลับไปใช้วิธีฆ่าไม่เลี้ยงอีกครั้ง แม้เขาไม่แข็งแกร่งดั่งเช่นที่เคยเป็นมาแล้ว
อย่างที่เห็นว่าบทหนังมอบแรงจูงใจอันเหมาะสมทีเดียว สำหรับการดึงเอาตัวละครนักบู๊ผู้เกษียณแล้วกลับสู่สังเวียน
แม้เขาแสวงหาความสงบสุขมานาน และการกลับมาต่อสู้อาจหมายถึงจุดจบของชีวิตไม้ใกล้ฝั่งอย่างเค้า
แรมโบ้ต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีสู้แบบใหม่ (เน้นวางกับดัก+ลอบโจมตี) เนื่องจากสมองยังทำงานดี แต่ร่างกายไม่ฟิตปั๋งเหมือนเก่า
เรียกว่าทางผู้สร้างเข้าใจตัวละครดีมาก ถึงนำเสนอ Last Blood ออกมาในลักษณะนี้
ทว่าการทำเช่นนี้เปรียบเหมือนดาบสองคม, การเน้นไปที่บทสรุปชีวิตแรมโบ้ของ Last Blood ทำให้มีแต่คนเคยดูทุกภาคนั่นแหละถึงจะประทับใจ
แต่ไม่ใช่แฟนประจำทุกคนจะประทับใจกับการขายบทสรุปสวยๆ ของตัวละคร จนลดทอนความมันส์มากไปอยู่ดี
Rambo ใช่ว่ามีคนนิยมชมชอบในวงกว้างระดับเดียวกับพวกตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ หรือสายลับ 007 ผู้โด่งดังค้ำฟ้า
Rambo ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มกว่า แถมขายความรุนแรงระดับ 18+ กับฉากบู๊มาตลอดตั้งแต่ภาค 2
ยิ่งเหลือแค่แฟนประจำบางคนเท่านั้นที่ประทับใจกับมัน, การจะบอกว่า Last Blood เป็นหนังดีที่อยากแนะนำให้ดูกัน มันก็ช่างยากนัก...
สรุป Rambo: Last Blood มอบบทสรุปอันน่าประทับใจ ให้ตัวละครที่โลดแล่นบนแผ่นฟิล์มนานหลายสิบปี
แต่นี่ไม่ใช่หนังสำหรับผู้ชมหน้าใหม่ที่ไม่เคยดู Rambo ภาคไหน และคงไม่ใช่หนังที่แฟนประจำทุกคนจะชอบใจ
หากใครยังไม่รับชมแล้วอยากลองของ ขอแนะนำให้ไปหาภาคเก่าดูครบๆ ก่อน และอย่าตั้งความหวังอะไรไว้มากก่อนสัมผัสมัน
COMMENTS