หากได้รับชมแล้วย่อมทราบว่า Endgame เต็มไปด้วยองค์ประกอบมากมาย และเนื้อหาที่ซับซ้อนจนหลายคนคงสงสัย ว่าทางผู้สร้างทำอย่างไรจึงได้ภาพยนตร์เ...
หากได้รับชมแล้วย่อมทราบว่า Endgame เต็มไปด้วยองค์ประกอบมากมาย
และเนื้อหาที่ซับซ้อนจนหลายคนคงสงสัย ว่าทางผู้สร้างทำอย่างไรจึงได้ภาพยนตร์เช่นนี้ออกมา
หัวเรี่ยวหัวแรงหลักในกระบวนการผลิตเนื้อหา อย่างคู่หูผู้เขียนบท 'คริสโตเฟอร์ มาร์คัส และสตีเฟน แมคฟีลีย์' เลยถูกทาง New York Times เชิญตัวมาสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ลอสแองเจลิส ซึ่งขอหยิบยกเอาเนื้อหาบทสัมภาษณ์ส่วนใหญ่ มานำเสนอตามวิจารณญาณส่วนตัวไว้ ดังนี้
ซ้ายมาร์คัส, ขวาแมคฟีลีย์
การวางเรื่อง
พวกคุณตัดสินใจกันยังไง ว่าจะวางจุดเปลี่ยนของเรื่องราวไว้ตรงไหนบ้าง ?
มาร์คัส: จุดเปลี่ยนใหญ่ที่สุดของเนื้อหา (Infinity War กับ Endgame) น่าจะเป็นตอนดีดนิ้ว และพวกเราตระหนักดีว่าให้มันเกิดตอนหนังเรื่องแรกจบเป๊ะๆ ไม่ได้ มิฉะนั้นจะดูเหมือนมันยังไม่จบเรื่องจริงๆ
แต่ถ้าดีดนิ้วเร็วเกิน มันจะกลายเป็นเอาเหตุการณ์ที่ไม่สำคัญไปกองไว้ท้ายเรื่อง
ประมาณว่าฆ่าคนครึ่งจักรวาลแล้วพาตัวละครไปเผชิญความสูญเสียครึ่งค่อนชั่วโมงซะงั้น
แมคฟีลีย์: จุดเปลี่ยนเนื้อหาอีกอันคือตอนทุกคนกลับมา คำถามคือมันควรเป็นตอนต้นๆ ของหนังเรื่องที่สองเลยไหม ? หรือไว้ท้ายๆ ดี ?
คุณมีทีมอเวนเจอร์สชุดดั้งเดิมอยู่ก็ควรให้เวลาพวกเขาหน่อย เราเลยผลักช่วงพาคนกลับมาไปท้ายๆ
ดังนั้นแฟนคลับดร. สเตรนจ์, แบล็คแพนเธอร์, บัคกี้ หรือแซม จะได้เห็นพวกเขาน้อย แต่การเอาใจทุกคนให้พวกเขาได้อย่างที่ต้องการมันเป็นไปไม่ได้
เลือกยังไง เรื่องใครอยู่ใครตาย ?
มาร์คัส: เราอยากเห็นกัปตันอเมริกากับโทนี่รับมือผลกระทบหลังพ่ายแพ้ คุณจะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องทุกข์ทน
เป็นเหตุผลที่กัปตันฯ กับนาตาชาไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กันในหนังเรื่องแรก แค่ออกไปสู้เฉยๆ
นั่นเพราะเรารู้ว่าพวกเขาจะได้บทเยอะในหนังเรื่องที่สอง ซึ่งในทางกลับกันบางตัวละครอย่างเช่นแก๊งค์การ์เดี้ยน ควรได้บทในหนังเรื่องแรกเยอะหน่อย
แมคฟีลีย์: ธอร์ได้บทเยอะทั้งสองเรื่องแบบงงๆ แต่เขาก็คู่ควรกับบทที่ได้อยู่
มาร์คัส: สำหรับตัวละครที่ผู้คนเคยมองว่าน่าเบื่อ เขากลายเป็นคนมีประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อ
เหตุผลที่ฆ่าธานอสช่วงต้น Endgame ละ ?
แมคฟีลีย์: เราติดขัดตรงนี้บ่อย หมอนี่มีอาวุธสุดยอดในมือ เขารู้ดีว่าจะมีอะไรตามมา
มันน่าตลกตรงเราสุมหัวประชุมหลายสัปดาห์ แล้วจู่ๆ ชิง ชาน (Trinh Tran) ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร ก็โพล่งว่า "ฆ่าๆ เขาซะสิ"
แล้วพวกเราก็แบบ "ถ้าฆ่าเขาแล้วจะเป็นไงต่อ ? ทำไมต้องฆ่าเขา ? ทำไมเขายอมให้คุณฆ่าธานอส ?"
มาร์คัส: มันสอดคล้องกับแนวคิดของธานอส เพราะเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว ที่จริงไม่อยากให้เขาดูคล้ายพระคริสต์มากไป แต่อารมณ์มันประมาณ "ถ้าข้าต้องตาย ตอนนี้ก็ได้อยู่"
Endgame ใส่บรรยากาศสิ้นหวังและสูญเสียยาวร่วมชั่วโมง รู้ได้ไงว่าผู้ชมจะรับได้ ?
มาร์คัส: ผมรู้สึกเสี่ยงน้อยลงตอนเห็นปฏิกิริยาผู้คนต่อ Infinity War คุณไม่มีทางรู้ว่าทำยังไงพวกเขาถึงจะปลื้มปริ่มหรือโดนใจ
เราง่วนอยู่กับมันนานหลายปี จึงเลยจุดที่จะตอบสนองแบบเปี่ยมอารมณ์ไปเรียบร้อย แต่ทันใดนั้นคุณก็เห็นคนร้องไห้ในโรงภาพยนตร์
ซึ่งแปลว่าเราควรภูมิใจ หรือไม่ก็ควรรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรแย่ๆ ให้เค้าดูซะแล้ว
แมคฟีลีย์: ตอนรอบทดลองฉายหลายคนทำท่าไม่สบายใจ เนื่องจากมันเล่นกับความรู้สึกมิใช่น้อย ดูไปไม่รู้สึกถึงความหวังสักนิด
กว่าจะพ้นช่วงนั้นก็ตอนจบขององก์ 2 ซึ่งสำหรับหนังฮีโร่ส่วนใหญ่พวกเขาอาจเผชิญความสูญเสียเพียง 5 นาที แต่นี่พวกเขาเผชิญมันนาน 5 ปี ฉากพวกนี้จึงมีความสำคัญ
ส่วนของตัวละคร
ใช้วิธีไหนตัดสินใจให้ฮีโร่แต่ละคนกลายเป็นแบบที่เห็นใน Endgame ?
แมคฟีลีย์: คริสกับผมเขียนบทฉบับเอกสารหลักขึ้น ตอนช่วงที่เรากำลังถ่ายทำ Civil War
สิ่งหนึ่งซึ่งเราอยากลองคือเนื้อหาแบบคอมิคแนว 'ถ้าหาก' (What If comics)
Endgame คือแนวถ้าหากของพวกเรา ถ้าเหล่าฮีโร่แพ้, ธอร์จะอ้วนพี, นาตาชาจะเก็บเนื้อเก็บตัว, สตีฟจะทำตัวหดหู่, โทนี่ใช้ชีวิตส่วนตัว, ฮัลค์กลายเป็นซุปเปอร์ฮีโร่
มาร์คัส: คลินท์กลายเป็นฆาตกรคลั่ง ตอนเราเริ่มต้นเขียน Endgame เราจัดให้ธอร์ทำภารกิจล้างแค้น แบบว่าชำระแค้นที่ค้างไว้ตอนหนังเรื่องล่าสุด
อารมณ์ประมาณ นี่คือสิ่งที่เขาจะทำ! แต่มันล้มเหลวเสมอ
เลยลองผลักดันเขาจนสุดทาง แล้วดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น
แมคฟีลีย์: เขาเอาแต่ดื่ม และก็ตัวอ้วนฉุ
ฮัลค์ดูจะโชคดีกว่า
มาร์คัส: เราเคยต้องการให้แบนเนอร์กลายเป็นฮัลค์ฉลาด (Smart Hulk) ตอนหนังเรื่องแรกอยู่
มันสนุกน่าดู แต่รู้สึกผิดจังหวะเอาเรื่อง เพราะเขาพบช่วงรุ่งเรือง ขณะที่คนอื่นประสบความตกต่ำ
แมคฟีลีย์: เราเคยกะให้มันเกิดตอนศึกวาคานด้า เนื้อเรื่องของเขาถูกวางไว้ว่าแบนเนอร์มีปัญหากับฮัลค์, เจ้านั่นไม่ยอมออกมา แล้วในทันใดทั้งคู่ก็ประนีประนอมกันได้ กลายเป็นฮัลค์ฉลาด
มาร์คัส: เราชอบนะ, แต่เขาก็ได้เป็นฮัลค์ในหนังเรื่องที่สอง
ส่วนฉากร้านอาหารนั่นคือเราอยากข้ามอะไรทำนอง เขาอยู่ในห้องแล็บกำลังตัดต่อพันธุกรรม
แมคฟีลีย์: โอ้, ฉันเขียนฉากในห้องแล็บไว้ตั้งเยอะ แล้วเขาดันไปนั่งกินแพนเค้กเฉยเลย แต่ฉันว่านี่ออกมาดีใช้ได้นะ
มาร์คัส: ฉากนั้นพอล รัดด์ (แอนท์แมน) เอาแต่บ่นว่า "ผมสับสนชะมัด"
แอนท์แมนไม่โผล่ใน Infinity War เราเห็นเขาแย่เพราะการดีดนิ้วใน Ant-Man and the Wasp ก่อนมามีบทสำคัญใน Endgame
ทำไมพวกคุณจัดวางบทของเขาให้กลายเป็นแบบนี้ ?
แมคฟีลีย์: ช่วงปลายปี 2015 พวกเขาบอกให้เราเขียนบทเรื่องที่ 19 (Infinity War) กับ 22
ขณะเราพยายามเค้นมันออกมา เกิดตระหนักว่าไม่รู้จะเอายังไงกับแอนท์แมนดี
เนื่องจากเขามีหนังของตัวเองอยู่ และมันไม่ควรได้รับผลกระทบจนกว่าจะถึงจุดที่สมควร
ดังนั้นเราก็ต้องไปให้ความสำคัญเขาใน Endgame คุณทำแบบนี้ได้เฉพาะตอนวางแผนล่วงหน้าไว้นานขนาดนั้น
โทนหนังแอนท์แมน 2 แปลกเนอะ ว่าไหม ? เพราะมันสนุกสดใสจนกระทั่งเราฆ่าทุกคนบนจุดที่สมควรนั่น
ฮอว์คอาย เปลี่ยนไปในทางมืดมนมากกว่าใครเพื่อน
แมคฟีลีย์: เขาคือตัวอย่างที่ดีของคนที่เนื้อเรื่องแข็งแรงขึ้นหลังการดีดนิ้ว
เรื่องราวของฮอว์คอายซึ่งควรบอกเล่าในหนังเรื่องแรกมันจะต่างจากฮีโร่คนอื่นตรงไหน ?
ทิ้งครอบครัวเพื่อไปร่วมต่อสู้หรือ ? เขาเคยทำแล้วตอน Civil War
ถ้าอยากได้ประเด็นใหม่ต้องให้เขาฆ่าพวกคนชั่ว
มาร์คัส: เราเคยคิดจะใส่ฉากหลังดีดนิ้วของพ่อมือธนูลงในหนังเรื่องแรก, ดีดนิ้วปุ๊บ
ตัดสู่ฟาร์มของบ้านคลินท์ปั๊บ--มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ ?--และให้มันชี้นำว่าเกิดผลกระทบอะไรขึ้นในวงกว้าง แม้เขาไม่ได้มีบทเลยก่อนหน้าฉากนั้น
มันเจ๋งนะ, แต่ก็แสดงให้เห็นว่าธานอสได้ทำสิ่งที่โหดร้ายแค่ไหน
แมคฟีลีย์: โจ รุสโซ เป็นคนบอกให้เอาไปไว้ตอนต้นหนังเรื่องที่สอง
ในเมื่อ Black Panther และ Captain Marvel ประสบความสำเร็จอย่างงาม พวกคุณได้ลองเพิ่มอะไรเกี่ยวกับพวกเขาลงใน Endgame บ้างไหม ?
แมคฟีลีย์: เวลาไม่มากพอที่จะทำ เราพูดไม่ออกหรอกว่า "เร็วเข้า ใส่ชูริเพิ่มไป"
เราเปิดกล้องหนังทั้งสองเรื่องแล้วก่อนหน้า Black Panther เราถ่ายทำ, พวกเขาทำจนเสร็จ, แต่พวกเราก็ยังถ่ายทำอยู่
มาร์คัส: ตอนนั้นแบล็คแพนเธอร์พร้อมเผยแพร่
แมคฟีลีย์: ตอนเรากำลังฉายรอบทดลอง (ก่อน Black Panther ฉายโรง) พอกัปตันอเมริกาบอก "ฉันรู้จักอยู่ที่นึง" แล้วตัดไปวาคานด้า ผู้ชมโพล่งว่า "เออ น่าสนใจแฮะ"
แต่พอทดลองฉายหลัง Black Panther เข้าโรง แค่เปิดเสียงกลองที่คุ้นหูให้ได้ยินผู้คนก็เริ่มคลั่ง
ด้าน Captain Marvel ก็เหมือนกัน เราถ่ายฉากของบรี ลาร์สัน ก่อนเธอไปถ่ายทำหนังของตัวเอง
เธอพูดประโยคของตัวละครตอน 20 ปีหลังจากเรื่องราวต้นกำเนิด, ซึ่ง ณ เวลาดังกล่าวยังไม่มีใครเขียนบทนั่นขึ้นมาเลย มันบ้าชะมัด
มาร์คัส: เธออยู่ในอวกาศนานเกือบครึ่งชีวิต เธอมีภารกิจที่ต้องทำ
แมคฟีลีย์: ใช่แล้ว, กัปตันมาร์เวลมีบทใน Endgame น้อยกว่าที่หลายคนคงคาดไว้
แต่เราไม่ได้ตั้งใจจะเน้นเรื่องของเธอ--ที่เราเน้นคืออเวนเจอร์สทีมดั้งเดิมรับมือความสูญเสีย และพบบทสรุปกัน ส่วนเธอนั้นคือฮีโร่หน้าใหม่
การผจญภัยข้ามกาลเวลา
มาร์คัส: มันคือวิธีจบเนื้อหาซึ่งพวกเราเบิกทางสร้างกันมา เราต้องการให้ช่วงเวลาพวกนั้นดูประดุจเกิดขึ้นจริง--ทั้งสำหรับเรื่องราวทั้งหมด และสิ่งที่พวกตัวละครเคยกระทำกัน
คุณยุติบทบาทนาตาชา, โทนี่ และสตีฟ ในแบบที่พวกเราทำไม่ได้หรอก ถ้าไม่ย้อนมองสิ่งที่พวกเขาทำมาตลอด"
ไอเดียเรื่องเดินทางข้ามเวลาผุดขึ้นมาตอนไหน ?
แมคฟีลีย์: เควิน ไฟกี บอกว่าอยากใช้มณีเวลา หรือเล่นเรื่องเวลาบ้าง
นั่นทำให้พวกเราใช้เวลาหลายสัปดาห์มองหาว่าทำให้มันประหลาดที่สุดได้แค่ไหน โดยที่ไม่ทำหนังพังไปซะก่อน
มาร์คัส: พวกเรามีหนทางปูไว้แล้วจริงไหม ? อยากเดินทางข้ามเวลาใช่มั้ย ? หาคนที่พร้อมใช้งาน ตัวละครฉลาดๆ สิ
เรายังไม่ทันใช้แอนท์แมนด้วยซ้ำ แต่ก็มีคนตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับมิติควอนตัมกับเวลาของ M.C.U. ไว้เรียบร้อย มีทางออกพร้อมให้พวกเราใช้งานเสร็จสรรพ นี่ไม่ถือว่าขี้โกงหรอกนะ
ทำไมพวกคุณให้การข้ามเวลาแล้วเปลี่ยนเหตุการณ์ในอดีตไม่ส่งผลต่อปัจจุบันของเรา ?
มาร์คัส: เรารับชมเรื่องราวเกี่ยวกับการข้ามเวลามากมาย สุดท้ายก็รู้ว่ามันไม่ควรเป็นเช่นนั้น
แมคฟีลีย์: มันจำเป็น เพราะมีมณีให้ตามเก็บมากถึง 6 ชิ้น ถ้าทุกครั้งที่เปลี่ยนบางอย่างเกิดผลกระทบตามหลัง ผลกระทบคงมากจนพาลพาให้สลบ
เราเลยเลี่ยงไม่ยอมทำ เราเรียกนักฟิสิกส์เข้ามา--มากกว่าหนึ่งคน--และพวกเขาบอกว่า 'Back to the Future' ผิด
มาร์คัส: อธิบายรวมๆ ก็ตามฮัลค์พูดในหนัง, เมื่อคุณเดินทางสู่อดีต, ปัจจุบันจะกลายเป็นอดีตคุณไป และอดีตจะกลายเป็นอนาคตคุณแทน อดีตจึงไม่เปลี่ยนแปลง
พวกคุณได้เปลี่ยนเนื้อเรื่องช่วงเดินทางข้ามเวลาระหว่างพัฒนาหนังบ้างหรือไม่ ?
แมคฟีลีย์: ในบทร่างแรกเราไม่ได้ย้อนไปยังหนัง Avengers ภาค 1
เราย้อนสู่แอสการ์ด เพราะมีช่วงนึงของ M.C.U. ซึ่งอีเทอร์ อยู่ร่วมกับเทสเซอแรคท์บนนั้น
เราตั้งใจให้โทนี่เยือนแอสการ์ด, ใส่เกราะพรางตาเพื่อล่องหน, ปะทะกับไฮม์ดัลผู้มองเห็นทุกอย่าง
มาร์คัส: ธอร์ ร่วมฉากกับนาตาลี พอร์ตแมน (เจน/สาวชาวโลกแฟนเก่า) นานกว่านั้น และเหตุการณ์บนมอร์แอ็ก (ดาวที่สตาร์ลอร์ด/ปีเตอร์ ควิลล์ พบออร์บ/มณีพลัง) ก็ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าในหนังมาก
แมคฟีลีย์: ออร์บอยู่ใต้น้ำ! ไอเดียนี้แจ่มแต่มันวุ่นวายเกินเหตุ ถ้าใส่ไป จังหวะที่ธานอสกับพวกลูกสาวเข้ามายุ่งจะไม่ลงตัว
เราจึงให้เป็นตอนปีเตอร์ ควิลล์ อยู่นั่นแทน แถมจะได้เห็นเขาโดนตั๊นหน้าสักหมัดด้วย, ผมว่ามันตลกดีนะ
จุดจบของการเดินทาง
เคยมีการคิดจะให้ฮอว์คอาย ตายแทนแบล็ควิโดว์บ้างหรือไม่ ?
แมคฟีลีย์: เคย แน่อยู่แล้ว, แต่เมื่อ เจน อันเดอร์ดาห์ล (Jen Underdahl) ผู้อำนวยการสร้างเทคนิคพิเศษด้านภาพ (visual effects producer) ของเราอ่านบทร่างที่ฮอว์คอายตาย หล่อนบอกว่า "อย่าแย่งเอาสิ่งนี้ไปจากเธอเชียวนะ" ผมเก็บมันมาตรึกตรองอย่างจริงจัง
มาร์คัส: และก็จริงครับ, เขาเคยเสียสละเพื่อเธอ และมันดราม่าน้ำตานองน่าดูถ้าเขาตายและไม่ได้กลับไปหาครอบครัว จะถูกต้องเหมาะสมกว่าถ้าเธอคือคนเสียสละ
โทนี่ สตาร์ค จำเป็นต้องตายด้วยรึ ?
แมคฟีลีย์: เราทุกคนรู้อยู่แล้วว่านี่จะเป็นจุดจบของโทนี่ สตาร์ค
มาร์คัส: เกรงว่าจะไม่ได้มีใครสั่งมาด้วย เราไม่เห็นเหตุผลดีๆ ที่จะไม่จบชีวิตเขา และคิดว่ามีคนที่ชอบให้ลงเอยแบบนี้อยู่แน่
แมคฟีลีย์: คติพจน์หนังคือจบเนื้อหาตอนนี้ลง และเขาคือคนเริ่มต้นเนื้อหา
มาร์คัส: เขาเป็นเหมือนเงาสะท้อนด้านตรงข้ามของสตีฟ โรเจอร์ส ตลอดมา
ยิ่งสตีฟก้าวไปข้างหน้าเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตระหนักถึงสิ่งที่อยากทำเพื่อตัวเองมากเท่านั้น
ส่วนโทนี่ยิ่งก้าวไป ยิ่งเข้าใกล้การเป็นผู้เสียสละ
พวกเขาทั้งสองต่างพบสิ่งที่ตามหา ณ จุดสิ้นสุดของการเดินทาง
พวกคุณเคยพิจารณาจะให้โทนี่รอดบ้างไหม ?
มาร์คัส: ไม่, เพราะเรามีโอกาสมอบชีวิตหลังเกษียณสมบูรณ์แบบแก่เขาแล้วในหนัง
แมคฟีลีย์: เขาได้รับมันเรียบร้อย
มาร์คัส: นั่นคือชีวิตที่เขาใฝ่หา เขากับเป็ปเพอร์จะไปด้วยกันรอดไหม ? ใช่, พวกเขาแต่งงาน, มีลูกด้วยกัน, มันยอดเยี่ยม
ความตายของเขาก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย ไม่ใช่โศกนาฏกรรมอะไร มันคือจุดจบชีวิตในฐานะวีรบุรุษ
งั้นกัปตันอเมริกาก็ถูกกำหนดให้ได้ใช้ชีวิตกับเพ็กกี้ คาร์เตอร์ มาโดยตลอดเหมือนกัน ?
แมคฟีลีย์: ตั้งแต่เราเริ่มร่างบทก็กำหนดไว้แล้วว่าเขาจะไปเต้นรำกับเธอตามสัญญา
ขอนอกเรื่องนิด, ผมรู้สึกไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันคือการเอาใจแฟนๆ หรือแค่ทำสิ่งที่ดีต่อตัวละคร
เพราะผมคิดว่าตัวละครสมควรได้รับมัน แต่ก็กลายเป็นให้ในสิ่งที่แฟนๆ ต้องการ
ไม่รู้ว่าดีมั้ย ? แต่ผมบอกได้เลยว่าตัวเองพอใจ เขาเคยเลื่อนการใช้ชีวิตของตัวเองออกไปเพื่อเติมเต็มภาระหน้าที่
เลยเป็นสาเหตุให้ผมไม่คิดจะฆ่าเขาสักนิด นั่นไม่ใช่เส้นทางชีวิตของเขา
เส้นทางชีวิตเขาคือ, ถึงเวลาวางโล่ฉันลงเพื่อส่งต่อเสียที เพราะโล่นี่เคยมีคนมอบให้ฉันมา
มาร์คัส: ถ้าไม่ให้ฮีโร่เสียสละ คุณจะไม่มีทางได้เห็นพวกเขาในแบบที่ต้องการจากหนังพวกนี้เด็ดขาด เพราะนั่นแหละที่ทำให้พวกเขาเป็นฮีโร่, ไม่ใช่พลังพิเศษใดๆ ทั้งนั้น
ที่มา
COMMENTS