หากใครเคยดูพวกหนังสัตว์ประหลาด, อนิเมชั่นหุ่นเหล็กยักษ์ของทางญี่ปุ่นมาบ้าง ก่อนได้รับชมแปซิฟิค ริมภาคแรกจะรู้ทันทีโดยไม่ต้องไปตามข่าวหรือ...
หากใครเคยดูพวกหนังสัตว์ประหลาด, อนิเมชั่นหุ่นเหล็กยักษ์ของทางญี่ปุ่นมาบ้าง ก่อนได้รับชมแปซิฟิค ริมภาคแรกจะรู้ทันทีโดยไม่ต้องไปตามข่าวหรือบทสัมภาษณ์ผู้กำกับ 'กิลเลอโม เดล โทโร' ว่ามันรับแรงบันดาลใจจากผลงานต้นฉบับทางญี่ปุ่นเต็มๆ
ไม่สิ, เรียกได้รับแรงบันดาลใจมันน้อยไป..... ต้องเรียกว่ามันได้รับ "จิตวิญญาณ" มาต่างหาก เพราะสเน่ห์เฉพาะตัวของงานต้นฉบับจัดเต็มสุดกำลัง เช่น
- หุ่นเหล็กยักษ์เคลื่อนไหวเชื่องช้า ทว่าทรงพลัง
- การต่อสู้ระหว่างหุ่นยักษ์กับสัตว์ประหลาดตัวเบิ้ม แสนเร่าร้อน ปลุกจิตวิญญาณเด็กน้อยในตัวคุณให้ลุกโชติช่วง
- มุมกล้องที่เวลามองตามตัวละครมนุษย์บนจอภาพยนตร์ไปเห็นสัตว์ประหลาด แล้วรู้สึกถึงขนาดอันใหญ่โตอย่างแท้จริง
- การรุกราน กวาดล้างมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงของสัตว์ประหลาดไซส์มหึมา โดยผุดจากใต้ทะเลขึ้นฝั่ง อาละวาดทำลายตึกรามบ้านช่องเสียราพณาสูร
- สัตว์ประหลาดบุกยามค่ำคืน แสงไฟตึกระยิบระยับ เพลิงไหม้กระจายรอบเมือง สร้างบรรยากาศน่ากลัวปนน่าหลงใหล
- การงัดไม้ตายออกมาปราบศัตรู พลิกสถานการณ์ ณ ช่วงเวลาคับขันสุดขีด
จิตวิญญาณเหล่านี้ทำให้แปซิฟิค ริมภาคแรกกลายเป็นภาพยนตร์อันเป็นที่รักของเหล่าสาวกหุ่นเหล็ก+สัตว์ประหลาดแบบไม่ยากเย็น
แต่น่าเศร้า หนังทำรายได้แค่ระดับงั้นๆ ในประเทศอเมริกา ไม่รู้เพราะบรรดาคนดูหนังชาวอเมริกันส่วนใหญ่ ไม่นิยมชมชอบ ส่วนผสมวัฒนธรรมตะวันตก(อเมริกา)กับตะวันออก(ญี่ปุ่น)ของหนัง ยอมรับเพียงภาพยนตร์ฮอลลีวูดปกติ อันมีกลิ่นอายแสนคุ้นเคย, นั่งหาวเวลาดูหนังแล้วหุ่นเหล็กมันขยับตัวทำอะไรช้าไม่ทันใจ, หรือหนังแนวนี้ขาดความดึงดูดใจมากพอกันแน่
หนังทำรายได้ในตลาดภาพยนตร์เมืองจีนมากพอจะได้สิทธิไปต่อก็จริง แต่การผลักดันให้หนังภาคสองเกิดความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เพื่อหวังรายรับระดับสูงกว่าเก่าคงไม่ใช่เรื่องแปลก
ทว่าทางต้นสังกัดคงคิดว่า ขืนปล่อยกิลเลอโม เดล โทโรทำหนัง มิวายออกมาคล้ายภาคเดิม เพิ่มเติมทุนสร้างให้เสี่ยงขาดทุนเปล่าๆ
อย่ากระนั้นเลย ขยับเขานั่งแท่นผู้บริหาร คอยดูแลหนังอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ และนำผู้กำกับคนใหม่เข้าเสียบแทนดีกว่า
Pacific Rim: Uprising ภายใต้การกำกับของผู้คร่ำหวอดวงการซีรีส์ทางโทรทัศน์ยาวนานนับสิบปี 'สตีเวน เอส. ดีไนท์' ปรับรูปแบบการนำเสนอใหม่เต็มพิกัด มีกลิ่นอายตะวันตกของหนังฮอลลีวูดมากกว่าเก่า
- ดำเนินเรื่องด้วยจังหวะรวดเร็ว, ฉากต่อสู้ฉับไว ทันใจวัยรุ่น หุ่นยนต์เลิกขยับตัวอืดอาดยืดยาด และเน้นซัดกันกลางวันแสกๆ แทนตอนกลางคืน
- เสริมทัพด้วยกลุ่มตัวละครนักขับหุ่นวัยรุ่น-เยาวชน คนรุ่นใหม่ ที่พร้อมพิสูจน์ตัวเอง สร้างวีรกรรมพิทักษ์โลกให้ประจักษ์
- แต่ไม่ลืมเดินเรื่องโดยมีตัวละครชาวจีนรับบทบาทสำคัญ ระดับขาดไม่ได้ในหนัง เอาใจคนดูหนังประเทศจีนเผื่อไว้
จังหวะเดินเรื่องรวดเร็ว กระชับฉับไวเหมือนเป็นเรื่องดี แต่การที่หนังพยายามเร่งเครื่องเดินหน้าตลอดเวลา ส่งผลให้ซึมซับบรรยากาศต่างๆ ยาก และทำความรู้จักตัวละคร, ทำความเข้าใจจิตใจตัวละคร เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมฉากดราม่าต่างๆ ไม่ค่อยได้
ตอนดูหนัง มีเพียงเส้นใยความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องบางๆ ซึ่งคู่พระนาง 'เจค เพนทีคอสต์' กับ 'อมารา นามานิ' ค่อยๆ สร้างขึ้นมาระหว่างเดินเรื่องเท่านั้นที่รู้สึกสัมผัสได้จริง(เพราะบทเน้นทั้งคู่มากสุดด้วยกระมัง)
ส่วนดราม่าเจค-เนต หรือ ประเด็นกลุ่มนักขับวัยรุ่นคนอื่นๆ พยายามพิสูจน์ตัวเองขาดความน่าจดจำเป็นอย่างมาก
อมารากับดราม่าความสูญเสียในวัยเด็ก
ฉากต่อสู้ส่วนใหญ่ก็ไม่ลุ้น อารมณ์แค่วาดลวดลายว่องไวหวังให้ประทับใจ แต่ไม่ทันจะรู้สึกประทับใจ รู้ตัวอีกที สู้กันเสร็จเรียบร้อย
ไหนจะการเอาตัวละครภาคเก่ามาปู้ยี่ปู้ยำตามใจ เปลี่ยนเป็นตัวร้ายบ้าง, เชือดทิ้งบ้าง แต่ตรงนี้รับได้ เพราะไม่งั้นคงรู้สึกว่าหนังขาดความน่าจดจำ(ให้มีเหตุการณ์คาดไม่ถึงเกิดบ้างนี่แหละดี) และสร้างออกมาเอาใจคนดูภาคแรกเกินไปหน่อย
แถมบทเฉลยช่วงท้ายเรื่อง ว่าพวกสัตว์ประหลาด-ไคจูทุกตัวตั้งแต่สมัยภาคแรกเล็งเป้าไปรวมตัวแถวภูเขาไฟฟูจิตลอด (เพื่อทิ้งตัวลงปล่องภูเขาไฟ ให้เลือดทำปฏิกิริยากับแร่หายากในฟูจิ สร้างระเบิดครั้งใหญ่ ทำลายสภาพแวดล้อมโลกถาวร) มันฟังไม่ขึ้นสักนิด ดันทุรังผลักดันไคลแม็กซ์(climax) ท้ายเรื่องให้เกิดขึ้นน่าดู
เพราะถ้าไคจูถูกมนุษย์ต่างดาว-พวกพรีเคอร์เซอร์ส่งมาอย่างมีรูปแบบ การส่งไคจูกระจายตัวขึ้นฝั่งทั่วโลก, แวะขึ้นฝั่ง, ก่อนอ้อมกลับไปรวมตัวแถวญี่ปุ่นมันเสียเวลาเกินเหตุ สั่งไคจูจากใต้มหาสมุทรตรงดิ่งไปญี่ปุ่นทีเดียวฟังเข้าท่ากว่า
ยิ่งตอนแรกไม่มีหุ่นเยเกอร์ ใช้เวลาหลายวันถึงกำจัดสำเร็จสักตัว ตอนนั้นพรีเคอร์เซอร์มันมัวโอ้เอ้รออะไรอยู่
ถึงบ่นซะเยอะ แต่โดยรวมหนังดูสนุก บันเทิงเอาเรื่อง ประทับใจกับหุ่นไซส์เล็กจิ๋วแต่แจ๋ว-สแครปเปอร์ของอมารา และฉากต่อสู้ช่วงไคลแมกซ์
ใครยังไม่มีโอกาสรับชมภาคสอง แล้วชอบภาคแรกมากๆ คุณคือผู้โชคดี ! อย่าดูภาคนี้เลย เพราะจิตวิญญาณหุ่นเหล็กยักษ์ กับหนังสัตว์ประหลาดแสนเร่าร้อน ระเหยหายไปจากภาคสองจนหมด
ทว่าสำหรับผู้เน้นรับประสบการณ์ความบันเทิงเริงใจ จากการรับชมภาพยนตร์เป็นหลัก ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะสมแก่การรับชมอย่างยิ่งครับ :D
COMMENTS