ภาพยนตร์แฟรนไชส์ชุด "Cloverfield-โคลเวอร์ฟิลด์" มีจุดเริ่มต้นมาจากภาพยนตร์สัตว์ประหลาดยักษ์ปี 2008 ที่ ลูกเล่นการประชาสัมพันธ์ค...
ภาพยนตร์แฟรนไชส์ชุด "Cloverfield-โคลเวอร์ฟิลด์" มีจุดเริ่มต้นมาจากภาพยนตร์สัตว์ประหลาดยักษ์ปี 2008 ที่ลูกเล่นการประชาสัมพันธ์ค่อนข้างแปลกใหม่ (ณ เวลานั้น) คือ
ใช้วิธีปล่อยข้อมูลประชาสัมพันธ์ทางสังคมออนไลน์แบบอ้อมๆ และกระจัดกระจาย เช่น เปิดเว็บไซต์บริษัทที่มีจริงเพียงในหนัง หรือปล่อยคลิปแปลกๆ ออนไลน์ เชิญชวนให้หลายๆ คนฉงนสงสัย พยายามปะติดปะต่อข้อมูลรวมกัน เพื่อดูว่ามันเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์สัตว์ประหลาดบุกเมืองในหนัง
แถมตัวหนังยังใช้ลูกเล่นน่าสนใจ นำเสนอเรื่องราวเสมือนวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ของตัวละครคนธรรมดาเดินดิน ผู้บังเอิญติดอยู่กลางสถานการณ์วุ่นวายพอดีอีก
หนังค่อนข้างประสบความสำเร็จทั้งด้านคำวิจารณ์+รายได้ จนหลายคนพากันบ่นว่าอยากดูภาคต่อ เพราะตัวหนังมีความสดใหม่ น่าสนใจ และถึงรับชมภาพยนตร์จบแล้วปริศนา, ที่มาที่ไปหลายสิ่งหลายอย่างก็มิได้รับการแถลงไขให้กระจ่างแต่อย่างใด
ทว่ารอแล้วรอเล่ากันเข้าไป ข่าวภาคต่อดันมาแค่ข่าวลือ พอให้หายคิดถึงเป็นพักๆ ทำเอาตระหนักว่าทางผู้ดูแลการสร้างหนังโคลเวอร์ฟิลด์-เจ.เจ.อับรามส์คงตีบตันไอเดีย เลยไม่กล้าปล่อยหนังภาคต่อฉาย เพราะจุดขายของหนังจริงๆ คือความสดใหม่ หากไม่มีแนวคิดสร้างสรรค์ดีๆ เตรียมไว้ อย่าเสี่ยงทำออกมาเป็นหนังสัตว์ประหลาดธรรมดาๆ แล้วโดนด่าเล่นดีกว่า.....
พอเริ่มถอดใจ คิดว่าคงไม่มีวันเห็นหนังโคลเวอร์ฟิลด์ภาคสอง อยู่ดีๆ ปี 2016 ข่าวแว่วมา ว่าหนังชื่อ "10 Cloverfield Lane" จะเข้าฉายโรงภาพยนตร์ พร้อมตัวอย่างหนังกับเรื่องย่อที่ดูยังไงๆ ก็ไม่เกี่ยวอะไรภาคแรกสักนิด, สัตว์ประหลาดยักษ์หายไปไหน? หลังดูจบยังงงๆ ตกลงมันคือหนังภาคสองจริงเรอะ? ทางเจ.เจ.อับรามส์เลยแถลงไข บอกให้ว่านี่แหละภาคต่อ
แต่คอนเซปท์(concept) เขาคือ รวมมิตรเรื่องลี้ลับ แฟรนไชส์โคลเวอร์ฟิลด์ตั้งอยู่ในโลกมิติพิศวง(Twilight Zone) คำจำกัดความคงประมาณ อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโคลเวอร์ฟิลด์ นั่นเอง
เค้าว่าไงเราว่าตาม เพราะหนังภาคสองทั้งแปลกใหม่+สนุกเหมือนเดิม เริ่มตั้งความหวังขึ้นมาว่าคงเจอความคิดพิสดารอะไรใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ แค่ใช้ชื่อ 'โคลเวอร์ฟิลด์' แปะยี่ห้อกันเหนียว ไม่งั้นเดี๋ยวคนไม่ดู โอเครับได้ครับผม :D
ถัดมาภาคสามมิต้องรอนานแปดปี, 2018 นี่เขาเริ่มลูกเล่นประชาสัมพันธ์แบบภาคแรกอีกคำรบ แต่ประเดี๋ยวก่อน แว่วเสียงข่าวลือใหม่ หนังเขาเตรียมตัวรอท่าไว้ตั้งสองภาค และภาคสามจะไปลงฉายเฉพาะช่องทางออนไลน์ Netflix ไม่ลงโรง, ส่วนภาคสี่เตรียมฉายโรงปลายปี
ปรากฏข่าวลือลง Netflix เรื่องจริง ยิงตัวอย่างออกมาแทบจะพร้อมหนังฉาย สร้างความประหลาดใจครั้งใหม่สำเร็จได้ แต่ข่าวร้ายคือคำวิจารณ์จากต่างประเทศเลวร้าย เทียบสองภาคแรกไม่ติด =A=
ไอ้เราเริ่มหวั่นไหว พยายามลดความคาดหวังก่อนดูลงมา หาโอกาสเหมาะๆ เตรียมใจ จัดไปกับ ---The Cloverfield Paradox---
*** จากนี้สปอยสั้นๆ แต่แรงอยู่ ใครยังไม่ดูหนังแล้วหลงมาอ่าน ยังเปลี่ยนใจทันนะ ***
เรื่องราวว่าด้วยโลกยุคพลังงานใกล้หมด สถานการณ์บีบคั้นให้มนุษย์หาพลังงานทดแทนรูปแบบใหม่ระดับปฏิวัติวงการ สร้างพลังงานจากเครื่องเร่งอนุภาคที่ติดตั้งบนสถานีอวกาศอันโคจรเหนือโลก
อย่างไรก็ตาม การทดลองมีความเสี่ยงเข้าขั้นมหาศาล เพราะถ้าผิดพลาด มันอาจฉีกเยื่อหุ้มของเวลาในอวกาศ ทำให้มิติต่างๆ พุ่งเข้าชนกัน ทำลายโลกแห่งความเป็นจริงทุกหนแห่งและช่วงเวลา(อดีต, ปัจจุบัน, อนาคต) สัตว์ประหลาด, ปีศาจร้ายต่างๆ จะพากันปรากฏตัว
การทดลองมันต้องผิดพลาดแน่นอน ไม่งั้นคงกลายเป็นหนังสารคดีวิทยาศาสตร์ ความวายป่วงทั้งหลายหลังจากนั้นฉีกกฎสามัญสำนึกสารพัด เร่งเร้าให้เหล่าตัวละครแก้วิกฤติปกป้องโลก
หากไม่คาดหวังอะไร The Cloverfield Paradox ถือว่าสนุกเพลิดเพลินใช้ได้ ตัวหนังไม่ได้ใส่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ชวนเข้าใจยากลงไปมากมาย แค่ใส่ให้พอเล่นเรื่องทฤษฎีโลกคู่ขนานกับ เฉลยสาเหตุแห่งความโกลาหลวุ่นวายต่างๆ ในหนังตระกูลโคลเวอร์ฟิลด์ (ทั้งสามภาคปัจจุบันและที่จะออกตามมา) เท่านั้น
คุณคิดว่านี่คือเรื่องดีหรือเปล่า? ผมเองมองว่าดี เพราะตอน 10 Cloverfield Lane ทำให้คิดว่าแฟรนไชส์นี้แค่รวมเรื่องลี้ลับมาแปะยี่ห้อโคลเวอร์ฟิลด์เรียกคนดู แต่ The Cloverfield Paradox สร้างความเชื่อมโยง+วางโครงเรื่องราวใน จักรวาลภาพยนตร์โคลเวอร์ฟิลด์ เรียบร้อย ว่าเครื่องเร่งอนุภาคกลางอวกาศทำงานผิดพลาด สร้างสารพัดความผิดปกติระดับข้ามมิติกาลเวลาและบรรดาโลกคู่ขนาน ขึ้นมานั่นเอง (เช่น เอเลี่ยนหรือสัตว์ประหลาดในสองภาคแรก)
ที่แย่คือหนังเปรยเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง(คงเพราะหาจังหวะเหมาะๆ ใส่ช่วงท้ายเรื่องยาก) คนดูพาลเดาออกหมดว่าตอนจบมันจะประมาณไหน ซ้ำร้ายทฤษฎีวิทยาศาสตร์ในเรื่องไม่แปลกใหม่-ลึกล้ำสำหรับปัจจุบัน พลอยให้จุดขายด้านความสดใหม่ของแฟรนไชส์หายไปเกลี้ยง.....
ส่วนบรรดาเหตุการณ์ผิดปกติชวนเขย่าขวัญ อันเป็นอุปสรรคหลักที่เหล่าตัวละครต้องเผชิญดันหาหลักการจับต้องไม่ค่อยได้ (ตัวอย่างหนึ่งคือ ผมหาเหตุผลที่แขนมันเขียนบอกใบ้วิธีแก้สถานการณ์แก่ตัวละครแบบสมเหตุสมผลไม่ออกสักนิด) เหมือนนึกอะไรออกได้ใส่ๆ ไป จุดนี้ยิ่งด้อยกว่าหนังแนวไซไฟเรื่องอื่น คำวิจารณ์เลยออกมาแย่เสียฉิบ
พอเสียงตอบรับแย่ จึงมีข่าวลือว่าภาพยนตร์ส่งตรงลง Netflix แทนเพราะทางผู้สร้างหวั่นใจกับคุณภาพหนัง แต่แทบทุกความเคลื่อนไหวของโคลเวอร์ฟิลด์เสมือน 'ข่าวลือ' เสมอ เพราะฉะนั้นอย่าใส่ใจนักดีกว่า
---สรุป--- The Cloverfield Paradox วางพื้นเรื่องราวจักรวาลโคลเวอร์ฟิลด์เสร็จสรรพ นับว่าเป็นหนัง "ต้องดู" หากคุณเคยดูสองภาคแรกและยังอยากติดตามแฟรนไชส์นี้ต่อ หนังรับชมได้เพลินๆ แต่ขาดความสดใหม่+ความสมเหตุสมผลบางอย่าง และควรลดความคาดหวังก่อนดูเพื่อสนุกกับมันครับ
COMMENTS