แม้ดำเนินเรื่องเนิบช้าชวนง่วงนอน แต่ภาพยนตร์ซึ่งนำเสนอจินตนาการเกี่ยวกับโลกอนาคตอันเสื่อมโทรมชวนหดหู่อย่าง Blade Runner 2049 กลับมีองค์ประกอ...
แม้ดำเนินเรื่องเนิบช้าชวนง่วงนอน แต่ภาพยนตร์ซึ่งนำเสนอจินตนาการเกี่ยวกับโลกอนาคตอันเสื่อมโทรมชวนหดหู่อย่าง Blade Runner 2049 กลับมีองค์ประกอบน่าสนใจมากมาย เกร็ดต่างๆ ที่รวบรวมไว้ตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของความน่าสนใจเหล่านั้น
[1] ฉากเจ้าหน้าที่เค(รับบทโดยไรอัน กอสลิ่ง) เดินสำรวจลาสเวกัส
เคเดินทางสู่ลาสเวกัส (ในโลกเบลดรันเนอร์ลาสเวกัสกลายเป็นเมืองร้าง หลังจากโดนระเบิดรังสีนิวเคลียร์) จนพบริค เดคคาร์ด-อดีตเบลดรันเนอร์ผู้หายตัวไปยาวนานกว่า 30 ปี ผู้กำกับของหนัง "เดนิส วิลเลนเนิฟ-Denis Villeneuve" อธิบายองค์ประกอบต่างๆ ของฉากนี้ไว้ว่า
1.1] ผู้กำกับใส่ฝูงผึ้งลงในฉากเพื่อสื่อถึง "ชีวิตและความหวัง" ท่ามกลางเมืองร้างสุดเสื่อมโทรม (การพบสิ่งมีชีวิตของแท้ในโลกเบลดรันเนอร์นั้นยากยิ่ง เคจึงสนใจขนาดล้วงมือเข้าไปกลางรังผึ้ง)
1.2] ลาสเวกัสปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงสีเหลืองเพื่อคงบรรยากาศสุนทรีย์เฉพาะตัวของโลกเบลดรันเนอร์เอาไว้
คือให้แลดูเหมือน อยู่ท่ามกลางความฝัน
แม้ย้ายสถานที่ดำเนินเรื่องหลัก(ปกติอยู่ลอสแองเจลิส)
1.3] เพลงประกอบท้ายฉากคือ Brahms in A flat (Op.39 No.15)
"ผมคุ้นเคยกับดนตรีวอลซ์เป็นการส่วนตัว มันคือเพลงเก่าแก่ที่สุดในความทรงจำของผม, ผมเคยเล่นดนตรีกับคุณย่าสมัยยังเด็ก และการที่หนังเล่นกับเรื่องความทรงจำ ทำให้ผมถือโอกาสใส่ความทรงจำของตัวเองลงไปนิดหน่อย" ผู้กำกับกล่าว
[2] ม้าไม้แกะสลักน่าจะอยู่ในเมืองลาสเวกัสนานพอดู เพราะมันอาบรังสีมากพอจนยังตรวจสอบได้แม้ไม่อยู่ในเขตรังสีนานแล้ว (ลูกสาวเดคคาร์ดทิ้งม้าไม้ไว้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เด็ก)
แถมคนดูจะเห็นฉากที่มีไม้แกะสลักรูปสัตว์ชนิดอื่น อยู่ในช่วงที่เคเจอเดคคาร์ด ณ เมืองลาสเวกัสอีก
แปลว่าม้าไม้น่าจะเป็นของที่เดคคาร์ดทำขึ้นตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่กับเรเชลสองคนในเวกัส
หลังเรเชลตาย-ลูกสาวเกิดมาก็ให้เป็นที่ระลึก
สำหรับสร้างความทรงจำดีๆ แก่ลูกสาวไว้ยึดเหนี่ยวยามชีวิตยากลำบาก
(แม้เสี่ยงโดนแกะรอยม้าไม้-เดคคาร์ดถูกเจอตัวทีหลังก็ตาม)
[3] วอลเลซตาบอด ทว่าเขา "มองเห็นได้" ผ่านกล้องลอยจิ๋วสีดำ, กล้องพวกนี้ส่งข้อมูลสู่สมองเขาโดยตรง และเขาใช้กล้องสแกนสมองเดคคาร์ดตอนจับตัวเดคคาร์ดมาด้วย
จาเรด เลโต ผู้รับบทวอลเลซ ถามผู้กำกับว่า ถ้าวอลเลซสแกนสมองเดคคาร์ดได้แสดงว่า วอลเลซรู้ความจริงเรื่องเดคคาร์ดคือเรพพลิแคนท์ใช่ไหม?
ผู้กำกับนิ่งคิดก่อนตอบ "ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ(จาเรด)"
แต่จาเรดไม่ยอมบอกว่าเขาตัดสินใจแบบไหน เรื่องเดคคาร์ดจึงยังคงไม่ชัดเจนต่อไป (ปัดโธ่เอ๊ย !)
[4] สิ่งมีชีวิตของแท้ในโลกเบลดรันเนอร์หายากมาก ผู้กำกับเลยใส่ สุนัขของเดคคาร์ด เข้ามาเพราะสุนัขนั้น แยกแยะว่าเป็นสิ่งมีชีวิตของแท้หรือของเทียมได้ยาก
เป็นการสื่อถึงสถานะของเดคคาร์ด ซึ่งเราไม่อาจทราบได้ว่าเขาคือเรพพลิแคนท์หรือไม่
[5] ริดลี่ย์ สก็อตต์ ผู้ผลักดันให้สร้างหนังเบลดรันเนอร์ 2049 เองก็คิดว่าหนังมันยาวเกินไปจนไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แถมสาเหตุเกิดจากการที่ตัวเขาลงมามีส่วนร่วมในการเขียนบท และบอกให้ใส่เนื้อหาลงไปตามความเห็นของตัวเองอีก
เนื้อหาของหนังที่เป็นความคิดของริดลี่ย์คือ
- การที่เรพพลิแคนท์สามารถมีลูกเองได้
- เรเชลตาย, กระดูกถูกใส่ในกล่อง, ฝังไว้ใต้ต้นไม้
- ตัวละครแฟนสาวที่เป็นเพียงภาพฉายของเค "จอย"
(เรื่องเรพพลิแคนท์มีลูกกับเรเชลตายมันคือแกนหลักของเรื่อง
แต่ตัวละครจอยนี่ไม่จำเป็นต้องใส่หรอก
ถึงมีเธอแล้วเพิ่มความลุ่มลึกในปรัชญาเรื่องของแท้-ของเทียม กับเข้าถึงความรู้สึกเคง่ายขึ้น
ทว่าถ้าเธอไม่มีบท ก็ไม่น่าส่งผลกระทบต่อเนื้อเรื่องหลักเท่าไหร่)
[6] สภาพแวดล้อมของโลกเบลดรันเนอร์ 2049 ย่ำแย่ยิ่งกว่าสมัยหนังภาคแรก ทำให้มีการสร้างกำแพงกั้นทะเลขนาดใหญ่ (กำแพงที่มีน้ำสาดโครมๆ-จุดที่เคสู้กับเลิฟท้ายเรื่อง) ปกป้องเมืองจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นของมหาสมุทรแปซิฟิค
การไม่ย้ายเมืองหนีแสดงว่าพื้นที่ซึ่งสามารถอยู่อาศัย-สร้างเมืองใหม่เหลือน้อย หรือขาดแคลนทรัพยากรสำหรับสร้างเมืองขึ้นใหม่ (โลกของเบลดรันเนอร์ช่างไม่น่าอยู่เสียจริงๆ.....)
[1] ฉากเจ้าหน้าที่เค(รับบทโดยไรอัน กอสลิ่ง) เดินสำรวจลาสเวกัส
เคเดินทางสู่ลาสเวกัส (ในโลกเบลดรันเนอร์ลาสเวกัสกลายเป็นเมืองร้าง หลังจากโดนระเบิดรังสีนิวเคลียร์) จนพบริค เดคคาร์ด-อดีตเบลดรันเนอร์ผู้หายตัวไปยาวนานกว่า 30 ปี ผู้กำกับของหนัง "เดนิส วิลเลนเนิฟ-Denis Villeneuve" อธิบายองค์ประกอบต่างๆ ของฉากนี้ไว้ว่า
1.1] ผู้กำกับใส่ฝูงผึ้งลงในฉากเพื่อสื่อถึง "ชีวิตและความหวัง" ท่ามกลางเมืองร้างสุดเสื่อมโทรม (การพบสิ่งมีชีวิตของแท้ในโลกเบลดรันเนอร์นั้นยากยิ่ง เคจึงสนใจขนาดล้วงมือเข้าไปกลางรังผึ้ง)
1.2] ลาสเวกัสปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงสีเหลืองเพื่อคงบรรยากาศสุนทรีย์เฉพาะตัวของโลกเบลดรันเนอร์เอาไว้
คือให้แลดูเหมือน อยู่ท่ามกลางความฝัน
แม้ย้ายสถานที่ดำเนินเรื่องหลัก(ปกติอยู่ลอสแองเจลิส)
1.3] เพลงประกอบท้ายฉากคือ Brahms in A flat (Op.39 No.15)
"ผมคุ้นเคยกับดนตรีวอลซ์เป็นการส่วนตัว มันคือเพลงเก่าแก่ที่สุดในความทรงจำของผม, ผมเคยเล่นดนตรีกับคุณย่าสมัยยังเด็ก และการที่หนังเล่นกับเรื่องความทรงจำ ทำให้ผมถือโอกาสใส่ความทรงจำของตัวเองลงไปนิดหน่อย" ผู้กำกับกล่าว
[2] ม้าไม้แกะสลักน่าจะอยู่ในเมืองลาสเวกัสนานพอดู เพราะมันอาบรังสีมากพอจนยังตรวจสอบได้แม้ไม่อยู่ในเขตรังสีนานแล้ว (ลูกสาวเดคคาร์ดทิ้งม้าไม้ไว้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เด็ก)
แถมคนดูจะเห็นฉากที่มีไม้แกะสลักรูปสัตว์ชนิดอื่น อยู่ในช่วงที่เคเจอเดคคาร์ด ณ เมืองลาสเวกัสอีก
แปลว่าม้าไม้น่าจะเป็นของที่เดคคาร์ดทำขึ้นตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่กับเรเชลสองคนในเวกัส
หลังเรเชลตาย-ลูกสาวเกิดมาก็ให้เป็นที่ระลึก
สำหรับสร้างความทรงจำดีๆ แก่ลูกสาวไว้ยึดเหนี่ยวยามชีวิตยากลำบาก
(แม้เสี่ยงโดนแกะรอยม้าไม้-เดคคาร์ดถูกเจอตัวทีหลังก็ตาม)
[3] วอลเลซตาบอด ทว่าเขา "มองเห็นได้" ผ่านกล้องลอยจิ๋วสีดำ, กล้องพวกนี้ส่งข้อมูลสู่สมองเขาโดยตรง และเขาใช้กล้องสแกนสมองเดคคาร์ดตอนจับตัวเดคคาร์ดมาด้วย
กล้องลอยจิ๋วสีดำ
จาเรด เลโต ผู้รับบทวอลเลซ ถามผู้กำกับว่า ถ้าวอลเลซสแกนสมองเดคคาร์ดได้แสดงว่า วอลเลซรู้ความจริงเรื่องเดคคาร์ดคือเรพพลิแคนท์ใช่ไหม?
ผู้กำกับนิ่งคิดก่อนตอบ "ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ(จาเรด)"
แต่จาเรดไม่ยอมบอกว่าเขาตัดสินใจแบบไหน เรื่องเดคคาร์ดจึงยังคงไม่ชัดเจนต่อไป (ปัดโธ่เอ๊ย !)
[4] สิ่งมีชีวิตของแท้ในโลกเบลดรันเนอร์หายากมาก ผู้กำกับเลยใส่ สุนัขของเดคคาร์ด เข้ามาเพราะสุนัขนั้น แยกแยะว่าเป็นสิ่งมีชีวิตของแท้หรือของเทียมได้ยาก
เป็นการสื่อถึงสถานะของเดคคาร์ด ซึ่งเราไม่อาจทราบได้ว่าเขาคือเรพพลิแคนท์หรือไม่
[5] ริดลี่ย์ สก็อตต์ ผู้ผลักดันให้สร้างหนังเบลดรันเนอร์ 2049 เองก็คิดว่าหนังมันยาวเกินไปจนไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แถมสาเหตุเกิดจากการที่ตัวเขาลงมามีส่วนร่วมในการเขียนบท และบอกให้ใส่เนื้อหาลงไปตามความเห็นของตัวเองอีก
เนื้อหาของหนังที่เป็นความคิดของริดลี่ย์คือ
- การที่เรพพลิแคนท์สามารถมีลูกเองได้
- เรเชลตาย, กระดูกถูกใส่ในกล่อง, ฝังไว้ใต้ต้นไม้
- ตัวละครแฟนสาวที่เป็นเพียงภาพฉายของเค "จอย"
(เรื่องเรพพลิแคนท์มีลูกกับเรเชลตายมันคือแกนหลักของเรื่อง
แต่ตัวละครจอยนี่ไม่จำเป็นต้องใส่หรอก
ถึงมีเธอแล้วเพิ่มความลุ่มลึกในปรัชญาเรื่องของแท้-ของเทียม กับเข้าถึงความรู้สึกเคง่ายขึ้น
ทว่าถ้าเธอไม่มีบท ก็ไม่น่าส่งผลกระทบต่อเนื้อเรื่องหลักเท่าไหร่)
Everything you want to hear = อยากได้ยินอะไรจอยจัดให้
[6] สภาพแวดล้อมของโลกเบลดรันเนอร์ 2049 ย่ำแย่ยิ่งกว่าสมัยหนังภาคแรก ทำให้มีการสร้างกำแพงกั้นทะเลขนาดใหญ่ (กำแพงที่มีน้ำสาดโครมๆ-จุดที่เคสู้กับเลิฟท้ายเรื่อง) ปกป้องเมืองจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นของมหาสมุทรแปซิฟิค
การไม่ย้ายเมืองหนีแสดงว่าพื้นที่ซึ่งสามารถอยู่อาศัย-สร้างเมืองใหม่เหลือน้อย หรือขาดแคลนทรัพยากรสำหรับสร้างเมืองขึ้นใหม่ (โลกของเบลดรันเนอร์ช่างไม่น่าอยู่เสียจริงๆ.....)
"รังสีนิวเคลียร์กับฝุ่นควัน โลกมันยังย่ำแย่ไม่สะใจ ใส่ภาวะโลกร้อน-ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเพิ่มเข้าไปอีก" ผู้กำกับไม่ได้กล่าวแต่คงคิดในใจ :P
ที่มา
COMMENTS