เนื้อเรื่องภาพยนตร์เบลดรัันเนอร์ 2049 เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ภาคแรก 30 ปี (ใกล้เคียงกับความแตกต่างของเวลาฉายในโลกความเป็นจริง 35 ปี) แม้ความห...
เนื้อเรื่องภาพยนตร์เบลดรัันเนอร์ 2049 เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ภาคแรก 30 ปี (ใกล้เคียงกับความแตกต่างของเวลาฉายในโลกความเป็นจริง 35 ปี)
แม้ความห่างด้านระยะเวลายาวนาน แต่ก็มีการใส่องค์ประกอบชวนรำลึกถึงภาพยนตร์ภาคแรกหลายอย่างกระจายไว้ตลอดเรื่อง
ซึ่งหากใครหาหนังภาคแรกมาดูก่อนรับชมภาคสองไม่นาน อาจสังเกตเห็นกันบ้างแล้ว
[1] เปิดเรื่องด้วยการซูมลูกตา
ฉากเปิดสมัยเบลดรันเนอร์ภาคเก่าตัดสลับฉากซูมลูกตากับฉากเมืองลอสแองเจลิสโดยไม่เปิดเผยเจ้าของลูกตา
ส่วนภาค 2049 เปิดด้วยลูกตาของเจ้าหน้าที่เค ขณะเขากำลังเดินทางไปปลดเกษียณเรพพลิแคนท์นามแซปเปอร์ มอร์ตัน(Sapper Morton) และพบหีบบรรจุร่างเรเชลใต้ต้นไม้ภายหลัง
[2] บริษัทไทเรลล์
ตึกสำนักงานใหญ่ทรงพีระมิดของบริษัทวอลเลซคือตึกเดิมของบริษัทไทเรลล์ผู้ผลิตเรพพลิแคนท์ในหนังภาคแรก แสดงว่าวอลเลซไม่เพียงซื้อกิจการของบริษัทไทเรลล์ แต่เขาซื้อตึกสำนักงานนี้ไว้พร้อมกัน
และคำขวัญของบริษัทไทเรลล์ "เป็นมนุษย์มากกว่ามนุษย์" ที่ใช้โฆษณาขายเรพพลิแคนท์ ยังถูกพวกเรพพลิแคนท์กลุ่มปฏิวัติผู้ไม่ยอมรับการกดขี่จากมนุษย์กล่าวถึงตอนคุยกับเคด้วย
[3] กระดาษพับของกาฟ
ช่วงเดคคาร์ดทำงานเบลดรันเนอร์เขาจับคู่กับกาฟเพราะชอบทำงานคนเดียวเหมือนกัน (เดคคาร์ดกับกาฟจะได้แยกย้ายกันทำตามใจชอบ) เวลาปรากฏตัวในหนัง กาฟมักพับกระดาษเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ให้เห็นเสมอ
ภาค 2049 กาฟพับกระดาษรูป แกะ ให้เห็นตอนคุยกับเคเรื่องเดคคาร์ด สื่ออ้อมๆ ถึงเรื่องเดคคาร์ดคือเรพพลิแคนท์ เพราะนิยายต้นฉบับหนังเบลดรันเนอร์ภาคเก่าจริงๆ ชื่อ Do Androids Dream of Electric Sheep? (เวลาหุ่นยนต์ฝันถึงแกะ จะเป็นหุ่นยนต์แกะหรือเปล่า?)
* สาเหตุที่หนังใช้ชื่อเบลดรันเนอร์แทนก็ง่ายๆ คือชื่อนิยายต้นฉบับมันไม่เท่หรือติดหูเท่าไหร่
[4] ม้าไม้แกะสลัก
ในหนังภาค 2 เคสืบเรื่องเดคคาร์ดกับลูกสาวจากม้าไม้แกะสลัก
ซึ่งถ้าใครดูภาคแรก (ไม่ใช่ฉบับฉายโรง แต่เป็นฉบับตัดต่อใหม่ director's cut และ Final Cut) ก่อนดูภาคสอง ตอนมองม้าไม้คงนึกถึงยูนิคอร์นกัน
เพราะเดคคาร์ดเห็นยูนิคอร์นในความฝันก่อนที่
-> กาฟพับกระดาษตัวยูนิคอร์นวางโชว์ไว้ให้เดคคาร์ดเห็น
-> สื่อว่ากาฟรู้ความฝันของเดคคาร์ด
-> แปลว่าความฝันเดคคาร์ดถูกสร้างขึ้น
-> เป็นการบอกใบ้ว่าเดคคาร์ดคือเรพพลิแคนท์
[5] ตัวต่อ+ฝูงผึ้ง
ฉากเคแกะรอยม้าไม้มาเมืองร้างไร้ผู้คน-ลาสเวกัส แล้วเดินสำรวจช้าๆ เจอฝูงผึ้ง รำลึกถึงคำถามหนึ่งจากแบบสอบถามวอยท์-แคมพ์(Voight-Kampff) ซึ่งเดคคาร์ดใช้ทดสอบเรเชลจนพบว่าเธอคือเรพพลิแคนท์
เดคคาร์ด : "ถ้ามีตัวต่อคลานที่แขนของคุณ"
เรเชล : "ฉันจะฆ่ามัน"
จริงอยู่ตัวต่อกับผึ้งคือแมลงคนละอย่าง ทว่าคงไม่ใช่ความบังเอิญ เพราะหลังจากเค ล้วงมือเข้ากลางรังผึ้ง ตอนชักมือออกมาโดยมีผึ้งเกาะเต็มมือเขาแค่จ้องมองเฉยๆ ไม่ทำร้ายพวกมัน จึงไม่โดนต่อย (ทำแบบที่เรเชลว่าโดนต่อยแน่)
[6] แพนแอม (Pan Am)
แพนแอม คือสายการบินระหว่างประเทศยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาอันปิดกิจการลงเมื่อปีค.ศ. 1991 เลยไม่แปลกที่หนังเบลดรันเนอร์ซึ่งฉายปี 1982 จะมีสัญลักษณ์แพนแอมบนป้ายโฆษณาไฟฟ้า
แต่ดูท่าโลกเบลดรันเนอร์แพนแอมยังคงเปิดกิจการอยู่ ข้ามผ่านเวลาถึงค.ศ. 2049 เพราะในภาค 2 ก็มีสัญลักษณ์แพนแอมปรากฏให้เห็น
[7] อาตาริ (Atari)
ช่วง 1982 บริษัทขายเกมอาตาริกำลังเฟื่องฟู แม้ผ่านมรสุมหลายอย่างแต่อาตาริไม่เหมือนแพนแอม
ในโลกความจริงอาตาริตอนหนังฉายปี 2017 อาตาริยังคงดำเนินกิจการอยู่ เช่นเดียวกับในหนัง (ส่วนโลกความจริงจะอยู่ถึงปี 2049 หรือไม่ยังไม่รู้ :D)
[8] ปัญหาเรื่องดวงตาของผู้สร้าง
รอย แบ็ตตี้มนุษย์เทียมรุ่น Nexus-6 พยายามเข้าถึงตัวไทเรลล์ผู้สร้างเรพพลิแคนท์เพื่อหาวิธียืดอายุขัยของเขา พอรู้ว่าไม่มีหนทางทำได้เขาเลยโมโหฆ่าไทเรลล์ทิ้ง ด้วยการใช้พละกำลังเหนือมนุษย์กดลงบนดวงตาสองข้างไทเรลล์จนเขาเสียชีวิต
คนทำหนังอาจรำลึกถึงเรื่องนี้โดยให้ไนแอนเดอร์ วอลเลซ-ผู้สร้างเรพพลิแคนท์ตาบอดทั้งสองข้าง
[9] ฉากตัวละครสั่งขยายภาพ
ช่วงเดคคาร์ดสืบคดี หาตัวพวก Nexus-6 มีฉากเขาใช้เทคโนโลยีขยายภาพ สั่งขยาย-วิเคราะห์ภาพถ่ายเพื่อหาเบาะแส ภาคสองรำลึกเรื่องนี้ผ่าน 2 ฉาก คือ
ฉากเคขยายภาพกระดูกมนุษย์ที่พบ ณ ที่ซ่อนตัวของแซปเปอร์ มอร์ตัน แล้วเจอหมายเลขประจำตัวบนกระดูก ทำให้ทราบว่านี่ไม่ใช่กระดูกมนุษย์แต่เป็นกระดูกเรพพลิแคนท์(เรเชล)
กับฉากจอยสั่งโดรนขยายภาพยิงใส่ศัตรูรอบกองขยะซึ่งล้อมเคอยู่ ตอนเคกำลังไปสืบเรื่องลูกเรเชล ณ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
[10] อาณานิคมนอกโลก
โลกเบลดรันเนอร์มีอาณานิคมอวกาศที่ใช้แรงงานพวกเรพพลิแคนท์บุกเบิกสร้างขึ้น หากคุณคือผู้ดีมีเงินและไม่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับบนโลกมากนักก็สามารถหนีโลกโทรมๆ ไปอยู่อาศัยในอวกาศได้
อย่างไรก็ตามไม่ใช่มนุษย์รวยๆ ทุกคนมีโอกาส หากสุขภาพไม่ดีอาณานิคมจะไม่ยอมรับ เรื่องนี้ถูกพูดถึงในภาคเก่าผ่านตัวละครเจ.เอฟ.เซบาสเตียน(J.F. Sebastian) ผู้ที่ช่วยไทเรลล์สร้างเรพพลิแคนท์
(แม้ไม่แน่ใจว่าเซบาสเตียนรวยแค่ไหน แต่รู้จักไทเรลล์คงเส้นใหญ่พอควร) เขาอดไปอวกาศเพราะโรคแก่ก่อนวัยอันเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม
กับตัวละครนักสร้างความทรงจำสาวนาม สติลลีน ในภาคสอง
เธออดออกนอกโลกเนื่องจากสุขภาพไม่ดี
(แค่ข้ออ้างปิดบังเหตุผลแท้จริง หรือสุขภาพเธอแย่จริงๆ ไม่รู้ แต่สติลลีนใช้มันอ้างได้โดยไม่มีใครสงสัย แปลว่าคนสุขภาพแย่โดนห้ามออกนอกโลกกันเป็นเรื่องปกติ)
[11] ฉากหักนิ้ว
ในภาคแรก เดคคาร์ดโดนหักนิ้วระหว่างสู้กับเรพพลิแคนท์รอย แบ็ตตี้ ผู้ทรงพลังเหนือชั้นยิ่งกว่าเขามาก
ส่วนฉากรำลึกในภาคต่อคือตอนหัวหน้าผู้หญิงของเคที่ชื่อโจชิ(Joshi) โดนเลิฟหักนิ้ว เพื่อเค้นถามผ่านการทรมาน ว่าเคกำลังสืบคดีที่ไหน(และเพื่อความสะใจส่วนตัวของเลิฟด้วย)
[12] ฉากต่อสู้ครั้งสุดท้ายท่ามกลางสายฝน
การต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างเดคคาร์ดและรอย แบ็ตตี้เกิดบนดาดฟ้าตึกเมืองลอสแองเจลิสท่ามกลางสายฝน
35 ปีให้หลังฉากต่อสู้ตัดสินคล้ายคลึงกัน ระหว่างเคกับเลิฟผู้ฆ่าแฟนสาวภาพฉายของเขา เกิดขึ้นข้างกำแพงกั้นทะเลที่มีน้ำซัดสาดตลอดเวลา อันชวนให้นึกถึงสายฝนที่โปรยปรายลงมา
ที่มา
แม้ความห่างด้านระยะเวลายาวนาน แต่ก็มีการใส่องค์ประกอบชวนรำลึกถึงภาพยนตร์ภาคแรกหลายอย่างกระจายไว้ตลอดเรื่อง
ซึ่งหากใครหาหนังภาคแรกมาดูก่อนรับชมภาคสองไม่นาน อาจสังเกตเห็นกันบ้างแล้ว
[1] เปิดเรื่องด้วยการซูมลูกตา
ฉากเปิดสมัยเบลดรันเนอร์ภาคเก่าตัดสลับฉากซูมลูกตากับฉากเมืองลอสแองเจลิสโดยไม่เปิดเผยเจ้าของลูกตา
ส่วนภาค 2049 เปิดด้วยลูกตาของเจ้าหน้าที่เค ขณะเขากำลังเดินทางไปปลดเกษียณเรพพลิแคนท์นามแซปเปอร์ มอร์ตัน(Sapper Morton) และพบหีบบรรจุร่างเรเชลใต้ต้นไม้ภายหลัง
[2] บริษัทไทเรลล์
ตึกสำนักงานใหญ่ทรงพีระมิดของบริษัทวอลเลซคือตึกเดิมของบริษัทไทเรลล์ผู้ผลิตเรพพลิแคนท์ในหนังภาคแรก แสดงว่าวอลเลซไม่เพียงซื้อกิจการของบริษัทไทเรลล์ แต่เขาซื้อตึกสำนักงานนี้ไว้พร้อมกัน
และคำขวัญของบริษัทไทเรลล์ "เป็นมนุษย์มากกว่ามนุษย์" ที่ใช้โฆษณาขายเรพพลิแคนท์ ยังถูกพวกเรพพลิแคนท์กลุ่มปฏิวัติผู้ไม่ยอมรับการกดขี่จากมนุษย์กล่าวถึงตอนคุยกับเคด้วย
[3] กระดาษพับของกาฟ
ช่วงเดคคาร์ดทำงานเบลดรันเนอร์เขาจับคู่กับกาฟเพราะชอบทำงานคนเดียวเหมือนกัน (เดคคาร์ดกับกาฟจะได้แยกย้ายกันทำตามใจชอบ) เวลาปรากฏตัวในหนัง กาฟมักพับกระดาษเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ให้เห็นเสมอ
ภาค 2049 กาฟพับกระดาษรูป แกะ ให้เห็นตอนคุยกับเคเรื่องเดคคาร์ด สื่ออ้อมๆ ถึงเรื่องเดคคาร์ดคือเรพพลิแคนท์ เพราะนิยายต้นฉบับหนังเบลดรันเนอร์ภาคเก่าจริงๆ ชื่อ Do Androids Dream of Electric Sheep? (เวลาหุ่นยนต์ฝันถึงแกะ จะเป็นหุ่นยนต์แกะหรือเปล่า?)
* สาเหตุที่หนังใช้ชื่อเบลดรันเนอร์แทนก็ง่ายๆ คือชื่อนิยายต้นฉบับมันไม่เท่หรือติดหูเท่าไหร่
[4] ม้าไม้แกะสลัก
ในหนังภาค 2 เคสืบเรื่องเดคคาร์ดกับลูกสาวจากม้าไม้แกะสลัก
ซึ่งถ้าใครดูภาคแรก (ไม่ใช่ฉบับฉายโรง แต่เป็นฉบับตัดต่อใหม่ director's cut และ Final Cut) ก่อนดูภาคสอง ตอนมองม้าไม้คงนึกถึงยูนิคอร์นกัน
เพราะเดคคาร์ดเห็นยูนิคอร์นในความฝันก่อนที่
-> กาฟพับกระดาษตัวยูนิคอร์นวางโชว์ไว้ให้เดคคาร์ดเห็น
-> สื่อว่ากาฟรู้ความฝันของเดคคาร์ด
-> แปลว่าความฝันเดคคาร์ดถูกสร้างขึ้น
-> เป็นการบอกใบ้ว่าเดคคาร์ดคือเรพพลิแคนท์
[5] ตัวต่อ+ฝูงผึ้ง
ฉากเคแกะรอยม้าไม้มาเมืองร้างไร้ผู้คน-ลาสเวกัส แล้วเดินสำรวจช้าๆ เจอฝูงผึ้ง รำลึกถึงคำถามหนึ่งจากแบบสอบถามวอยท์-แคมพ์(Voight-Kampff) ซึ่งเดคคาร์ดใช้ทดสอบเรเชลจนพบว่าเธอคือเรพพลิแคนท์
เดคคาร์ด : "ถ้ามีตัวต่อคลานที่แขนของคุณ"
เรเชล : "ฉันจะฆ่ามัน"
จริงอยู่ตัวต่อกับผึ้งคือแมลงคนละอย่าง ทว่าคงไม่ใช่ความบังเอิญ เพราะหลังจากเค ล้วงมือเข้ากลางรังผึ้ง ตอนชักมือออกมาโดยมีผึ้งเกาะเต็มมือเขาแค่จ้องมองเฉยๆ ไม่ทำร้ายพวกมัน จึงไม่โดนต่อย (ทำแบบที่เรเชลว่าโดนต่อยแน่)
[6] แพนแอม (Pan Am)
แพนแอม คือสายการบินระหว่างประเทศยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาอันปิดกิจการลงเมื่อปีค.ศ. 1991 เลยไม่แปลกที่หนังเบลดรันเนอร์ซึ่งฉายปี 1982 จะมีสัญลักษณ์แพนแอมบนป้ายโฆษณาไฟฟ้า
แต่ดูท่าโลกเบลดรันเนอร์แพนแอมยังคงเปิดกิจการอยู่ ข้ามผ่านเวลาถึงค.ศ. 2049 เพราะในภาค 2 ก็มีสัญลักษณ์แพนแอมปรากฏให้เห็น
[7] อาตาริ (Atari)
ช่วง 1982 บริษัทขายเกมอาตาริกำลังเฟื่องฟู แม้ผ่านมรสุมหลายอย่างแต่อาตาริไม่เหมือนแพนแอม
ในโลกความจริงอาตาริตอนหนังฉายปี 2017 อาตาริยังคงดำเนินกิจการอยู่ เช่นเดียวกับในหนัง (ส่วนโลกความจริงจะอยู่ถึงปี 2049 หรือไม่ยังไม่รู้ :D)
[8] ปัญหาเรื่องดวงตาของผู้สร้าง
รอย แบ็ตตี้มนุษย์เทียมรุ่น Nexus-6 พยายามเข้าถึงตัวไทเรลล์ผู้สร้างเรพพลิแคนท์เพื่อหาวิธียืดอายุขัยของเขา พอรู้ว่าไม่มีหนทางทำได้เขาเลยโมโหฆ่าไทเรลล์ทิ้ง ด้วยการใช้พละกำลังเหนือมนุษย์กดลงบนดวงตาสองข้างไทเรลล์จนเขาเสียชีวิต
คนทำหนังอาจรำลึกถึงเรื่องนี้โดยให้ไนแอนเดอร์ วอลเลซ-ผู้สร้างเรพพลิแคนท์ตาบอดทั้งสองข้าง
[9] ฉากตัวละครสั่งขยายภาพ
ช่วงเดคคาร์ดสืบคดี หาตัวพวก Nexus-6 มีฉากเขาใช้เทคโนโลยีขยายภาพ สั่งขยาย-วิเคราะห์ภาพถ่ายเพื่อหาเบาะแส ภาคสองรำลึกเรื่องนี้ผ่าน 2 ฉาก คือ
ฉากเคขยายภาพกระดูกมนุษย์ที่พบ ณ ที่ซ่อนตัวของแซปเปอร์ มอร์ตัน แล้วเจอหมายเลขประจำตัวบนกระดูก ทำให้ทราบว่านี่ไม่ใช่กระดูกมนุษย์แต่เป็นกระดูกเรพพลิแคนท์(เรเชล)
หมายเลขประจำตัวบนกระดูก
กับฉากจอยสั่งโดรนขยายภาพยิงใส่ศัตรูรอบกองขยะซึ่งล้อมเคอยู่ ตอนเคกำลังไปสืบเรื่องลูกเรเชล ณ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
จอย: "หยุด,ซูมเข้าไป,ขยายภาพอีก"
[10] อาณานิคมนอกโลก
โลกเบลดรันเนอร์มีอาณานิคมอวกาศที่ใช้แรงงานพวกเรพพลิแคนท์บุกเบิกสร้างขึ้น หากคุณคือผู้ดีมีเงินและไม่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับบนโลกมากนักก็สามารถหนีโลกโทรมๆ ไปอยู่อาศัยในอวกาศได้
อย่างไรก็ตามไม่ใช่มนุษย์รวยๆ ทุกคนมีโอกาส หากสุขภาพไม่ดีอาณานิคมจะไม่ยอมรับ เรื่องนี้ถูกพูดถึงในภาคเก่าผ่านตัวละครเจ.เอฟ.เซบาสเตียน(J.F. Sebastian) ผู้ที่ช่วยไทเรลล์สร้างเรพพลิแคนท์
(แม้ไม่แน่ใจว่าเซบาสเตียนรวยแค่ไหน แต่รู้จักไทเรลล์คงเส้นใหญ่พอควร) เขาอดไปอวกาศเพราะโรคแก่ก่อนวัยอันเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม
กับตัวละครนักสร้างความทรงจำสาวนาม สติลลีน ในภาคสอง
เธออดออกนอกโลกเนื่องจากสุขภาพไม่ดี
(แค่ข้ออ้างปิดบังเหตุผลแท้จริง หรือสุขภาพเธอแย่จริงๆ ไม่รู้ แต่สติลลีนใช้มันอ้างได้โดยไม่มีใครสงสัย แปลว่าคนสุขภาพแย่โดนห้ามออกนอกโลกกันเป็นเรื่องปกติ)
[11] ฉากหักนิ้ว
ในภาคแรก เดคคาร์ดโดนหักนิ้วระหว่างสู้กับเรพพลิแคนท์รอย แบ็ตตี้ ผู้ทรงพลังเหนือชั้นยิ่งกว่าเขามาก
ส่วนฉากรำลึกในภาคต่อคือตอนหัวหน้าผู้หญิงของเคที่ชื่อโจชิ(Joshi) โดนเลิฟหักนิ้ว เพื่อเค้นถามผ่านการทรมาน ว่าเคกำลังสืบคดีที่ไหน(และเพื่อความสะใจส่วนตัวของเลิฟด้วย)
[12] ฉากต่อสู้ครั้งสุดท้ายท่ามกลางสายฝน
การต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างเดคคาร์ดและรอย แบ็ตตี้เกิดบนดาดฟ้าตึกเมืองลอสแองเจลิสท่ามกลางสายฝน
35 ปีให้หลังฉากต่อสู้ตัดสินคล้ายคลึงกัน ระหว่างเคกับเลิฟผู้ฆ่าแฟนสาวภาพฉายของเขา เกิดขึ้นข้างกำแพงกั้นทะเลที่มีน้ำซัดสาดตลอดเวลา อันชวนให้นึกถึงสายฝนที่โปรยปรายลงมา
ที่มา
COMMENTS