เนื้อหาเสริมของจักรวาล Avatar ที่เผยแพร่ในปัจจุบัน อันแน่นอนว่าดำรงอยู่บนภพเดียวกัน, นอกเหนือจากภาพยนตร์ภาคต่อ นั้นได้แก่นิยายภาพ (คอมมิค) ...
เนื้อหาเสริมของจักรวาล Avatar ที่เผยแพร่ในปัจจุบัน อันแน่นอนว่าดำรงอยู่บนภพเดียวกัน, นอกเหนือจากภาพยนตร์ภาคต่อ
นั้นได้แก่นิยายภาพ (คอมมิค) ชุด Brothers (2017), Tsu'tey's Path (2019), The Next Shadow (2021), Adapt or Die (2022)
สำหรับบทความนี้เป็นการสปอยล์เรื่องชุด จะปรับตัวหรือตาย (Avatar: Adapt or Die)
ซึ่ง "ดร.เกรซ ออกัสทีน" ผู้ที่อีกนับสิบปีให้หลัง เด็กๆ ชาวนาวีหลายคนจะนับถือ จนถึงขั้นเรียกว่าซานก (แม่) มีบทบาทโดดเด่น
ระหว่างนักพฤกษศาสตร์สตรี เรียนรู้วัฒนธรรมนาวีผ่านการสังเกตชั่วโมงเรียน, เรื่องวิธีจับแมลง (แบบไม่ทำอันตรายมัน) ของเผ่าโอมาติกาย่า
ด็อกเตอร์เกรซ (ในร่างอวตาร) ลองยื่นข้อเสนอจะดำเนินโครงการ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอย่างใหม่กับโมอาต (ผู้นำจิตวิญญาณหญิง)
นั่นคือเปิดโรงเรียนสอนภาษาของมนุษย์โลก บนแพนดอร่า, เพื่อให้เด็กตัวสีฟ้าตาใสรุ่นใหม่ๆ สื่อสารกับนักย่ำฝัน (ผู้มาเยือนจากต่างดาว) ได้
ในเบื้องต้นโมอาตยังไม่รับข้อเสนอทันที แต่ก็ปิ๊งไอเดียเรื่องเปิดทริป, จัดวันทัศนศึกษาให้พวกเด็กนาวี
เพื่อชิมลางดูท่าทีของคนรุ่นถัดไปก่อน ว่าพวกเขาพร้อมรับสิ่งใหม่ไหม, และมันจะก่ออันตรายใด แก่พวกเค้าหรือไม่ ?
ดังนั้นเนย์ทีรี่, ซิลวานิน (พี่สาว) กับเยาวชนโอมาติกาย่ากลุ่มหนึ่ง จึงมีโอกาสเปิดหูเปิดตาที่เฮลส์เกต (ฐานของบริษัททำเหมือง)
น้องๆ ชาวนาวีพากันตื่นเต้นกับ กีฬาบาสเกตบอล, เครื่องจักร และที่อยู่อาศัยอันผลิตจากโลหะ
เมื่อกลับถึงโฮมทรี (ต้นไม้ยักษ์) ที่เป็นแหล่งพำนักของโอมาติกาย่าทั้งผอง แบบครบ 32 ทุกคน
ขนาดผัวของโมอาต (เอทูคาน หัวหน้าเผ่า) ผู้มีท่าทีต่อต้านนักย่ำฝันหนัก (ต่างจากเมียรัก)
เห็นความสดชื่นรื่นเริงของเด็กๆ หลังทัศนศึกษาเข้า ก็ยังอดรู้สึกคล้อยตาม, เรื่องโรงเรียนสอนภาษาไม่ได้
ทว่าในขณะที่ทุกอย่างดูดี, ดันมีนาวีผู้หนึ่งประคองบุตรชาย ที่ป่วยไข้มาหาหมอยา (โมอาต)
เมื่อสอบถามได้ความว่า ไอ้หนูไข้ขึ้นหลังไปทัศนศึกษามา, ก่อนจะเป็นลมล้มพับ
เอทูคานก็ของขึ้น จนถึงขั้นเปลี่ยนท่าทีฉับพลัน
กล่าวโทษว่างานนี้พวกมนุษย์มัน แอบวางยาใส่เยาวชนเรา, ตอนพวกเค้าทัวร์เฮลส์เกตแหง
เกรซที่ว่าจะแวะไปเยี่ยมโฮมทรี อย่างที่ทำเป็นประจำ, ถูกเอทูคานสั่งห้าม โดยไม่ชี้แจงเหตุผล
เมื่อว่างกะทันหันหล่อนเลยลอง ตรวจสอบร่างอวตารของตน บนห้องวิจัยของฐานทัพ
จนพบว่าเกิดอาการผิดปกติบางอย่าง (เส้นผมเริ่มมี สีซีดจางกว่าเก่า)
ด้านโอมาติกาย่า อาการแบบเดียวกับเด็กคนแรก ชักแพร่หลายในหมู่นาวีรุ่นเยาว์ (แน่นอนว่ารวมทั้งเนย์ทีรี่)
พวกเขาไข้ขึ้น ตัวซีด และปรากฏผื่นลายดอกบางๆ บนร่าง
โมอาตมิอาจหาทางรักษา ทำได้แต่ประคองอาการเด็กๆ ไปวัน ๆ
หลังจากนั้นบรรดาผู้ใช้ร่างอวตาร (ทั้งเกรซและคนอื่น ๆ) ฟากเฮลส์เกต
ต่างประสบปัญหาอ่อนเพลีย, สีฟ้าบนร่างซีดจาง ตามด้วยวูบหมดสติปุบปับ
แม้มนุษย์ในฐานทัพไม่มีใครป่วย แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ทุกคนชักจะ วิตกจริต
ไม่นานนักแถวฝั่งโฮมทรี, กระทั่งผู้ใหญ่นาวียังเจ็บไข้ได้ป่วย ด้วยอาการเดียวกันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้นำสูงสุดของทั้งมนุษย์กับโอมาติกาย่า จึงออกคำสั่งกักบริเวณผู้คน เพื่อหวังลดการแพร่กระจาย, ของไอ้โรคระบาดปริศนา
ถ้าโรคปริศนาแพร่ไปทั่วแพนดอร่า อย่างแย่สุดนาวีจะม้วยหมด, ฝั่งมนุษย์สูญเสียร่างอวตาร (ที่ตนนึงราคาโคตรแพง) ยกแผง
ทว่าทั้งเกรซ & โมอาต ต่างเห็นตรงกันแบบมิได้นัดหมาย
ว่าเพื่อฝ่าวิกฤติแล้วไซร้ พวกเขาควร "ปรับตัว" ด้วยการฝ่าฝืน กฎกักบริเวณ
ควรหันมาแลกเปลี่ยนข้อมูล ร่วมมือกัน, มากกว่าปิดตายความสัมพันธ์ จนทั้งสองฝ่ายมีใครตาย
โมอาตนัดเจอเกรซ นอกเขตแดนของโอมาติกาย่า, เพื่อพาไปพบนาวี เผ่าทอคามี (Tawkami) ที่เชี่ยวชาญด้านพฤษศาสตร์ เผื่อทางนั้นรู้ไรเยอะกว่า
ทว่าถึงได้แค่แป๊บๆ ร่างอวตารของเกรซ ที่กะลังอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เพราะโรคภัย
กลับอ่อนแรง ถึงขั้นหมดสติพอดี, ดีดจิตของเกรซคืนสู่ ร่างมนุษย์ที่ฐานทัพ
ผู้นำสตรีเผ่าทอคามี เห็นแล้วประหลาดใจยิ่งนัก
แต่หลังโมอาตอธิบายทุกอย่าง, ผู้นำทอคามีก็ตัดสินใจช่วย มิใช่ผลักไส
ผู้นำทอคามีสั่งกักบริเวณตัวเอง กันพวกลูกน้องออกไป แล้วลองวินิจฉัยโรคจากร่างเกรซ
เธอใช้สมุนไพรเยียวยา ร่างอวตารซึ่งเกือบสิ้นอายุขัยหมดสภาพใช้งาน ได้สำเร็จ, แต่ไม่ถึงขั้นรักษาให้โรคหาย
โมอาตขอบอกขอบใจเสร็จ ก็หาม้ามาขนร่างเกรซ, และพาตัวเองขึ้นขี่มันดิ่งกลับโฮมทรี
อนิจจา ระหว่างทางมีฝูงหมาป่าอสรพิษ (Viperwolves) ที่หิวโหย บุกเข้าโจมตี, จนม้าเตลิดหนี
โมอาตจึงไม่มีทางเลือกนอกจาก ลากร่างอวตารของเกรซไปต่อ ด้วยเรี่ยวแรงของตน
ทางด้านเกรซในร่างมนุษย์ ที่คุยกับโมอาตมาแล้ว, ก่อนหลุดจากร่างอวตาร
เอะใจเกี่ยวกับลำดับการป่วยของชาวนาวี และเริ่มเห็นภาพรวมของเหตุการณ์
เธอจึงเกณฑ์ทหารรับจ้างที่ว่างอยู่ทั้งหมด ออกปูพรมตรวจสอบมองหาสิ่งผิดสังเกต, รอบเฮลส์เกต
เลยตระหนักว่าต้นเหตุน่าจะ มาจากสารเคมีที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ ซึ่งถูกเททิ้งลงแหล่งน้ำ
ชาวนาวีเปล่าดื่มน้ำจากแถวนี้, ทว่าพวกสัตว์ท้องถิ่นดื่ม
เมื่อสัตว์ที่กินน้ำพิษ โดนโอมาติกาย่าล่า แล้วนำเนื้อไปประกอบอาหาร, พวกเขาจึงได้รับพิษทางอ้อม
ด็อกเตอร์เกรซนำตัวอย่างน้ำ ที่ปนเปื้อนสารเคมีไปทดสอบ
หล่อนพบว่าเรื่องก่อโรคแก่ชาวนาวี ไม่หนักหนาเท่าอีกปัญหา
นั่นคือน้ำปนเปื้อนนี่มัน ดูดซับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย อย่างร้ายกาจ
ลำดับการป่วยจึงเรียงจากเด็ก, ไปหาร่างอวตาร, ก่อนถึงกาลผู้ใหญ่
เนื่องจากยิ่งอายุน้อยยิ่งมี สารอาหารจำเป็นสำรอง เป็นปริมาณน้อย, จึงอ่อนไหวต่อโรคมากกว่า
(อนึ่ง ร่างอวตารของมนุษย์ใช้สูตรเร่งโตผลิต จึงมีอายุเท่าๆ กับเด็กๆ ชาวนาวี, เลยล้มป่วยก่อนพวกผู้ใหญ่ ของแพนดอร่า)
เมื่อปริศนาทั้งมวลไขกระจ่าง, เกรซที่ยังมิอาจ เชื่อมต่อกับร่างอวตาร
ตระหนักว่าควรสนทนา รอบใหม่กะโมอาต เป็นการด่วน
หล่อนจำทางไปหมู่บ้าน ของทอคามีบ่ได้, เลยจำใจต้องนำร่างมนุษย์เหยียบถิ่นโอมาติกาย่าตรง ๆ
เธอโดนยามเฝ้าโฮมทรีไล่ตะเพิด อย่างที่คาด
แต่หันหลังกลับได้ไม่ทันไร, ก็โชคดีที่โมอาต (ผู้หอบแฮ่กๆ เพราะแบกร่างเกรซซะไกล) มาถึงทันตะโกนห้ามไว้
เกรซเล่าทุกอย่างที่ตนสืบทราบ เกี่ยวกับโรคระบาดให้โมอาตฟัง
หมอยาโอมาติกาย่าเชื่อว่า หลังมนุษย์กำจัดต้นตอน้ำพิษทิ้ง
และฝั่งเธอป้อนสมุนไพรชนิดนึง แก่คนไข้มากพอ ย่อมกำจัดโรคใหม่สำเร็จ
ทว่าสมุนไพรดังกล่าว ไม่น่ามีปริมาณตามธรรมชาติเพียงพอ ต่อจำนวนคนป่วยของปัจจุบัน
เกรซจึงขอตัวอย่างสมุนไพรเพียงเล็กน้อย เอาไปวิเคราะห์ในห้องแล็บของมนุษย์ เพื่อสังเคราะห์ยารักษา
หลังฝ่าฟันปัญหาใหญ่ร่วมกัน โครงการโรงเรียนสอนภาษา ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาถกกันใหม่
COMMENTS