เดอนี วีลเนิฟว์ พาผู้ชมร่วมทริปสุดโลดโผน เดินทางสู่ทะเลทรายแห่งอาราคีส ซึ่งทั้งสไปซ์, หนอนทรายตัวใหญ่ และเล่ห์เพทุบายทางการเมือง คือส่วนป...
เดอนี วีลเนิฟว์ พาผู้ชมร่วมทริปสุดโลดโผน เดินทางสู่ทะเลทรายแห่งอาราคีส
ซึ่งทั้งสไปซ์, หนอนทรายตัวใหญ่ และเล่ห์เพทุบายทางการเมือง คือส่วนประกอบ
สื่อต่างประเทศ (Empire) ดูแล้วชอบ จึงขอจับเข่าคุยแบบสป๊อยสปอยล์ กะผู้กำกับ
จนเป็นที่มาของบทความแปล ที่จะเพิ่มความกระจ่างให้หนัง, นิมิตของพระเอก และวิสัยทัศน์เกี่ยวกับภาคต่อของเขา
คุณกำหนดตายตัวว่า จะแยกนิยายเล่มหนึ่งให้เป็น 2 ส่วนตรงไหน ตั้งแต่แรกเลยใช่ไหม ?
สัญชาตญาณแรกของผม กำหนดให้จบหนังภาคแรกตรงนั้น
พวกเราเคยลองว่า จะจบหลังจากนั้นอีกหน่อย ได้หรือเปล่าด้วย
แต่มันค่อนข้างฝืน, เพราะหลังตอนจบตามภาพยนตร์ เรื่องราวจะโดดข้ามไปข้างหน้า 2 ปี
ถ้าไม่หยุด ผู้ชมจะรู้สึกถูกบีบให้ดูต่อ หลังจากจ้องหน้าจอแล้วร่วม 2 ชั่วโมงครึ่ง
พอลกับเจซซิก้าได้สัมผัสวิถีฟรีเมนแล้ว และพวกเขาถูกยอมรับเข้ากลุ่ม
มันคือฉากปิดอันทรงพลัง และปูทางสู่เนื้อหาช่วงถัดไปได้ดีเกินพอ
เรายังเปลี่ยนพอลจากเด็กชาย ให้กลายเป็นผู้ใหญ่เรียบร้อยด้วย
ผมจึงมั่นใจ 100% ว่าเลือกถูก, สมควรยุติภาคแรกลงแถวนี้
คุณกำหนดแนวทางดัดแปลงนิยาย ขึ้นมาได้อย่างไร ? ใช่การมุ่งเน้นไปที่พอลมั้ย ?
ใช่ ในหนังสือเองก็มุ่งเน้นที่พอล อาเทรดีซ, แม้จะมีปลีกตัวไปเล่าเรื่องราว ผ่านสายตาตัวละครอื่นบ้าง
ความฝันของผมคือการสื่อเนื้อหา โดยโฟกัสที่พอลผู้เดียว
แต่บางครั้งก็เลี่ยงไม่พ้นจริงๆ ในการใช้ตัวละครอื่น เพื่อให้เนื้อเรื่องมันเข้าใจง่ายขึ้น
สำหรับผม ความสัมพันธ์ระหว่างพอลกับมารดา (เลดี้เจซซิก้า) คือหัวใจหลัก
เจซซิก้าเป็นทั้งหนึ่งในตัวละครโปรด, และมีประโยชน์ในการตีแผ่เบเนเจซเซอริท กับความเคลื่อนไหวต่างๆ ของนิกายนี้ ให้กระจ่าง
รู้สึกเหมือนพอลมีพ่อ 'หลายคน' เลยนะ--เขามีส่วนผสมของทั้งดันแคน ไอดาโฮ, ทูเฟอ ฮาวัต และดยุคเลโต
ช่วงเริ่มเรื่อง พอลคือเด็กขี้เหงา, เขาคือวัยรุ่นผู้โดดเดี่ยว ขาดเพื่อนวัยเดียวกัน
และเช่นเดียวกับนิยาย, ผมพยายามให้พอลรับเอา 'มรดก' จากเหล่าพวกพ้อง และอาจารย์ที่รายล้อม มามากที่สุด
เพื่อแสดงคุณค่าของสายสัมพันธ์พวกนี้ และแสดงว่าการสั่งสอนของผู้ใหญ่ทั้งหลาย, หล่อหลอมให้พอลเป็นชายเต็มตัวได้ยังไง
พวกเราจะเห็นผู้ใหญ่เหล่านั้นในภาค 2 อีกหรือเปล่า ?
นั่นสปอยล์นะพวก! ถึงนิยายจะเผยแพร่มาตั้ง 60 ปีแล้วก็เหอะ แต่ใช่ครับ, ใครบางคนอาจปรากฏตัวอีก
ภาค 2 (Part Two) จะมีความเป็นหนังมากขึ้น เพราะสำหรับผมภาค 1 แค่ไว้ปูพื้นเนื้อหา
อธิบายวัฒนธรรม, อารยธรรม และภูมิหลังของสารพัดดาวเคราะห์
เมื่ออธิบายของพวกนั้นเกลี้ยงแล้ว ภาคสองจึงกลายเป็นสนามเด็กเล่นแสนอัศจรรย์, มันจะหรรษายิ่งขึ้น
เฟย์ด-เราทา (ทายาทตระกูลฮาร์คอนเนนอีกคน) จะโผล่ในภาค 2 ไหม ?
แน่นอน ผมจงใจโยกเขา ไปเปิดตัวในภาคต่อ, เพื่อลดจำนวนตัวละครที่ต้องแนะนำในภาค 1
และมันก็ดีกว่า ที่เฟย์ดเผยโฉมแถวภาค 2 ด้วย เพราะเขาจะมีบทบาทค่อนข้างสำคัญเป็นอย่างมาก ณ ช่วงเวลาดังกล่าว
กลุ่มมนุษย์หน้ากาก ที่อยู่ท่ามกลางคณะผู้แทนของจักรวรรดิ คือต้นหนกิลด์อวกาศ (Guild Navigators) หรือตัวแทนกิลด์อวกาศ (Guild representatives) ?
พวกเขาคือตัวแทนของกิลด์อวกาศ (สเปซซิ่งกิลด์) ไม่ใช่ต้นหน
ภาคแรกพวกต้นหนไม่ปรากฏ เพราะจะเล่าทุกอย่างให้ครบในหนังเรื่องเดียว มันยาก
ผมพยายามปิดหลายอย่างเป็นความลับไว้ก่อน เช่น ไม่ยอมโชว์หน้าจักรพรรดิ หรือนาวิเกเตอร์ของสเปซซิ่งกิลด์
ผมอยากเก็บทุกสิ่งเกี่ยวกับการเดินทางข้ามอวกาศ ไว้เป็นปริศนาชั่วคราว
เพราะมันมีทั้งแง่มุมที่ลึกลับ และความเชื่อมโยงอันศักดิ์สิทธิ์กับตัวภาพยนตร์
ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับห้วงอวกาศ ควรได้รับการบอกเล่าอย่างเหมาะสม เปี่ยมมนต์ขลัง
ตัวสไปซ์ก็เหมือนเวทมนตร์ด้วย, พวกเรารู้แค่มันคือของจำเป็น สำหรับใช้ท่องอวกาศ, การปล่อยให้มันดูลึกลับ ก็เป็นธรรมชาติดี
ใช่, เพราะงั้นผมจึงยืนกรานว่า จะไม่ยอมให้ภาคแรก มีฉากภายในยานอวกาศ
สำหรับผม Dune ควรโฟกัสไปที่อาราคีส, ฟรีเมน และระบบนิเวศน์ของดาวเคราะห์
เรื่องราวของมันควรติดดิน ไม่ควรรีบออกไปท่องอวกาศ
การปล่อยให้ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นยังลึกลับ ก็สวยงามกว่า
ในหนังมีของแบบยานขนส่ง ที่รูปร่างคล้ายหนอน
ตกลงพวกนั้นคือประตูดารา (stargate) ไว้ให้ผู้คนผ่านเข้าออก หรือตัวของยานเดินทางข้ามดาว
เดอะ ไฮไลเนอร์ส (The Heighliners) คือ 'ยาน' ของพวกสเปซซิ่งกิลด์
เราเสียเวลากับขั้นตอนออกแบบอยู่นานนม ก่อนจะลงเอยที่รูปลักษณ์ดังกล่าว
ผมเห็นแล้วรู้เลยว่าเหมาะ เพราะมันทั้งคล้ายหนอนและประตูดารา
สื่อถึงระบบที่จักรวรรดิใช้เดินทาง และสะพานเชื่อมกาลอวกาศได้ดี
ผมไม่อยากอธิบายมากไปตอนนี้ แต่ผมคิดว่ามันเพริศแพร้วดี
พวกเราถือวิสาสะเปลี่ยนรูปลักษณ์ จากที่บรรยายในหนังสือ
ซึ่งควรเป็นบางอย่างที่บิดเบือนมิติ และมีความเป็นประตูมากกว่า
ในฝันพยากรณ์ของพอลเกี่ยวกับเจมิส (คู่ต่อสู้ชาวฟรีเมน) มันบอกว่า 'เขาจะเป็นสหายเจ้า, เขาจะสอนเรื่องฟรีเมน'...
ตกลงว่าประเด็นนี้จะถูกสานต่อหรือเปล่า ? แล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาตามที่นิมิตบอกละ ?
ผมไม่สามารถเฉลยทุกอย่างตรงนี้ แต่ขอบอกไว้ประมาณนี้แล้วกัน
--ความท้าทายหนึ่งของการดัดแปลงนิยาย คือการนำเสนอให้เห็นว่านิมิตของพอล, คืออนาคตที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เขาสัมผัสได้หลายอย่าง, อารมณ์ของเขาตอบสนองตามสิ่งที่ปรากฏ
แต่การปะติดปะต่อข้อมูลช่างแสนยาก, เขาหยั่งรู้ผ่านภาพซึ่งคล้ายความฝัน และต้องพยายามตีความมันให้ออก
ผมยังอยากต่อยอดให้หนังอีกขั้น โดยทำให้นิมิตเหมือน 'ความฝัน' สุด ๆ
แถมความฝันนี่สามารถ ถ่ายทอดความรู้สึกโดยละเอียด มาให้พอลได้มหาศาล
พอลต้องลำบากในการย่อยสารจากนิมิตเสมอ เพราะมันมักเต็มไปด้วยความคลุมเครือ
มีเพียงบางเรื่องที่ชัดเจน, แต่ที่เหลือถ้าไม่เหมือนบทกวีเชิงนามธรรม ก็เป็นข้อมูลที่ขัดแย้งกันเอง
ผมคิดว่าถ้าทำแบบนี้จะน่าสนใจ และดราม่ากว่า
ความฝันเป็นเพียงคำเตือนหรือเบาะแส, แต่ไม่ใช่การเปิดเผยว่า สิ่งใดจะเกิดในภายภาคหน้า
คำว่า 'ดูน' ไม่ค่อยถูกใช้ในหนัง, คุณเรียกมันว่าอาราคีสตลอด
คนตัดต่อหนังของผมเคยพูดว่า, แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ตมี 2 ชื่อสำหรับทุกสิ่งเสมอ
ทุกอย่างต้องมีชื่อเรียกมากกว่าหนึ่ง, ผมจึงอยากลดความสับสนเกี่ยวกับดาวทะเลทราย
เราเรียกมันว่า 'ดูน' บ้างประปราย แต่ส่วนใหญ่ก็เรียก 'อาราคีส' ตามนิยายแหละ
แต่ในหนังภาคสอง, ผมอาจเปลี่ยนใจก็ได้...
COMMENTS