สารภาพตามตรงว่าตั้งแต่ช่วงหนังเริ่มประชาสัมพันธ์ตนเอง ด้วยการปล่อยตัวอย่างฉบับแรกๆ จนกระทั่งถึงก่อนฉายประมาณ 1 เดือน รู้สึกเหมือนไม่ค่อย...
สารภาพตามตรงว่าตั้งแต่ช่วงหนังเริ่มประชาสัมพันธ์ตนเอง ด้วยการปล่อยตัวอย่างฉบับแรกๆ จนกระทั่งถึงก่อนฉายประมาณ 1 เดือน
รู้สึกเหมือนไม่ค่อยอยากดู และมองว่าสตูดิโอโซนี่ปลุกผีแฟรนไชส์ที่ไม่ได้สร้างภาคต่อมานานนับสิบปี
เพียงเพื่อเรียกเงินจากกระเป๋าผู้ชมที่เกิดทันดูภาค 1-2 ในโรง หรือเคยสัมผัสความสนุกของ Bad Boys ภาคเก่าๆ ไปงั้นๆ
เนื่องจากไมเคิล เบย์ ผู้ฝากลายเซ็นไว้ในผลงานของเขาอย่างชัดเจนเสมอ มิได้กลับมากำกับภาค 3
แถมตัวอย่างยังทำให้ภาพลักษณ์ของภาพยนตร์ แลคล้ายหนังบู๊ปนตลกดาดๆ ซึ่งคงคาดหวังความสดใหม่อะไรมิได้สักประการอีก
แต่เมื่อเข้าช่วงหนังใกล้ฉายจริงกระแสกลับเริ่มดูดี คำวิจารณ์จากคนต่างประเทศส่วนใหญ่กลับเป็นไปในทางบวกเสียดื้อๆ จนชักสงสัย
เพราะมันผิดฟอร์มของคู่หูขวางนรกซึ่งก่อนหน้านี้วิธีนำเสนอจัดจ้าน ทว่าขาดความกลมกล่อมด้านการเล่าเรื่อง
จนคำวิจารณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีซะอยู่เรื่อย (แต่ก็ตามสไตล์ของป๋าเบย์เขาอะนะ)
ฉะนั้นตอนได้รับชมจริงๆ นั่นแหละจึงถึงบางอ้อ ว่าทีมประชาสัมพันธ์โซนี่เค้าเก็บส่วนดีๆ และมีความทันสมัยหลายประการของหนังไว้เป็นความลับ
อาจจะด้วยกลัวแฟนคลับซึ่งชอบอะไรเดิมๆ ของภาค 1-2 ออกอาการต่อต้านล่วงหน้า หรือมองว่าเน้นจุดขายหลักแบบวิล สมิธ กับมาร์ติน ลอว์เรนซ์ก็พอ เรียกแขกมาลองของได้ชัวร์ๆ อยู่แล้วน่า !
จะยังไงก็เหอะ Bad Boys for Life น่ะประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์ แถมตอนจบของภาพยนตร์ยังทิ้งเชื้อไว้ให้สานต่อเหตุการณ์สร้างภาค 4
เรียกว่าการคืนชีพแฟรนไชส์สัมฤทธิผล ในขณะที่หนังหลายเรื่องทำไม่สำเร็จ (เช่น Men in Black, Charlie's Angel เป็นต้น)
ส่วนเหตุผลนั้นคงเป็นการรู้จักปรับตัวตามยุคสมัย และได้ผู้กำกับที่ 'ใช่' มารับงานพอดี
ขอเริ่มจากการอธิบายประเด็นผู้กำกับก่อน; อดิล เอล อาบี กับบิลัล ฟัลลาห์ ซึ่งสร้างชื่อจากซีรีส์อาชญากรรมดราม่าเรื่อง Snowfall ที่ฉายทางช่อง FX ของอเมริกา
ถือว่าเป็นตัวเลือกแสนเสี่ยงอันตราย เนื่องจากทั้งสองคนไม่เคยทำหนังฟอร์มใหญ่แบบใครๆ ก็คุ้นหูหากเอ่ยชื่อภาพยนตร์
แต่ผลลัพธ์การปฏิบัติงานในหนังฟอร์มใหญ่เรื่องแรกของพวกเค้ากลับเข้าตากรรมการยิ่งนัก
ถึงขั้นสตูดิโอมาร์เวลที่เวลานี้โด่งดัง ต้องส่งคนไปตามจีบเผื่อคู่หูผกก.สนใจทำอะไรเกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโร่เลยละ
อารมณ์ตอนรับชม Bad Boys for Life ช่วงองก์แรกไปจนถึงประมาณกลางเรื่อง คือผมแอบเคืองนิดหน่อย
เนื่องจากฉากแอ็คชั่นที่มีมาเสิร์ฟเป็นระยะ แลดูสั้น, พยายามประหยัดงบประมาณ และขาดความต่อเนื่องหรือสะใจ
อีกทั้งตัวเนื้อเรื่องก็สร้างสถานการณ์ ซึ่งอาจจะทำให้ไมค์กับมาร์คัส/คู่หูขวางนรก ต้องแยกเส้นทางชีวิตออกจากกัน
แล้วมันก็คงไม่เข้าท่าแน่ เพราะความเข้าขาของพวกเขานี่แหละคือเสน่ห์หลักของ Bad Boys
แต่โดยรวมยังประทับใจ เนื่องจากพวกตัวละครใหม่แบบทีมแอมโม่ (Advanced Miami Metro Operations) น่าสนไม่เบา
ส่วนคู่หูผกก.ก็เล่าเรื่องราวที่ตัดสลับไปมาหลายอย่าง ระหว่างการบอกเล่าเนื้อหาสำคัญ, บทสนทนา, มุกตลก, ดราม่า และฉากบู๊ ได้แบบเอาอยู่
โดยไม่รู้สึกมีอะไรขาดหาย หรือเยิ่นเย้อเกินความจำเป็น
ทว่าพอเลยครึ่งเรื่องไป ความเคืองอะไรช่วงครึ่งแรกน่ะ มลายหายสิ้นหมดเลยจ้า
เพราะว่าบทบู๊เยอะขึ้นแบบที่รู้เลยว่าเฮ้ย ! ใช้วิธีบิ๊วท์อารมณ์ปูพื้นฐานให้แน่นหนา ก่อนไต่ระดับเพิ่มความพีคเรื่อยๆ เป็นลำดับ แล้วจัดหนักพาสู่จุดสุดยอดตอนท้ายนี่หว่า
เนื้อหาครึ่งหลังเองก็จริงจัง, เกิดการเฉลยปมปริศนา (แบบที่คาดไม่ถึงว่าจะเจอะเจอในหนังชุดคู่หูขวางนรก)
และไม่ลืมสอดมุกตลกมาแทรกเป็นจังหวะด้วยอีก
(อาจแป้กบ้าง ไม่ดูกาลเทศะบ้าง แต่โดยรวมก็เสริมรสชาติในการรับชม มากกว่าสร้างบาดแผลอันเจ็บปวดให้ตัวผลงาน)
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ต้องยกความดีความชอบ ให้ฝีมือการแสดงของวิล สมิธ กับเซ้นส์ด้านการยิงมุกของมาร์ติน ลอว์เรนซ์ ด้วยแหละ
เพียงแต่ 2 คนนั้นเค้ารับประกันคุณภาพอยู่แล้วไง ไม่งั้นผู้คนจะยังจดจำการประกบคู่ของพวกเขาติดหัวมาอีกเป็นสิบปีหรือ ?
ฝีมือการกำกับของอดิล เอล อาบี กับบิลัล ฟัลลาห์ จึงถือว่าเป็นจุดควรกล่าวถึงมากกว่า เพราะสร้างความประทับใจที่คาดไม่ถึงให้ในระดับสูงกว่า
ประเด็นสำคัญถัดมา คือหนังปรับตัวให้เข้ากับยุคปัจจุบันได้เหมาะสม
ตัวอย่างการปรับตัวก็เช่น เนื้อเรื่องของภาพยนตร์, วิธีใส่ทีมแอมโม่เข้ามา หรือการสืบสวนคดีด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่
ด้านเนื้อเรื่องทันสมัยอย่างไร ? โดยสรุป (แบบไม่สปอยล์) คือเนื้อเรื่องดี, ส่งผลส่วนหนึ่งให้คำวิจารณ์ดี, และนั่นแหละคือความทันสมัย
เพราะยุคนี้ใช้พล็อตเรื่องดาดๆ แล้วเอาการปราบผู้ร้ายด้วยความระห่ำของตำรวจมาเป็นจุดขายเฉยๆ มันโคตรเชยไง
ซึ่งเหตุการณ์คราวนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตส่วนตัวของตัวละครหลัก หนักกว่า 2 ภาคแรกเยอะ
เหตุการณ์นี้เกี่ยวกับความลับในชีวิตของเขา ที่คนเคยดูภาคเก่าคงคิดว่ารู้จักเค้าดีแล้ว... แต่ก็ปรากฏว่าไม่
และทำให้การที่เราต้องกลับมาดูชีวิตของตัวละครยามล่วงเข้าวัยชรา หลังผ่านเวลามาเนิ่นนานเอาป่านนี้ มีความสมเหตุสมผลยิ่ง
วิธีใส่กลุ่มตัวละครใหม่แบบทีมแอมโม่ลงในหนังภาค 3 จัดว่าเข้าท่า
ตัวละครทั้ง 4 มีจุดเด่นของตัวเอง ในลักษณะที่เชื่อว่าต่อให้ดูจบแล้วจำชื่อพวกเขาไม่ได้ คุณก็ต้องจดจำเอกลักษณ์ของพวกเขาได้
เช่น ถ้าเอ่ยว่าหัวหน้าหญิงสุดเซ็กซี่ที่เคยกิ๊กกั๊กกับพระเอก, สาวแซ่บประจำทีม, ตัวกวน, พ่อกล้ามใหญ่ (แต่เก่งไอที) มีหรือจะนึกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ?
พวกนี้เสริมความรู้สึกสดใหม่ให้แฟรนไชส์, ท้ายที่สุดไม่เด่นข้ามหัวหรือขาดความเคารพคนยุคเก่า
และช่วยเสริมกำลังรบของคู่หูขวางนรก ซึ่งถดถอยลงบ้างแล้วด้วยความชราได้เป็นอย่างดี
การสืบสวนคดีด้วยเทคโนโลยีก็จัดว่าเป็นสีสันใหม่
หากเป็นหนังที่หวังขายอะไรเดิมๆ จุดนี้คงไม่ถูกบอกเล่าดีๆ และโดนกดให้ผลลัพธ์สุดท้าย ห่วยแตกกว่าการใช้วิธีเดิมๆ ของพระเอกแล้ว
ทว่า Bad Boys 3 ยอมรับทั้งสองวิธี คือให้มีทั้งช่วงเวลาที่การเค้นข้อมูลจากปากผู้ร้ายหรือสายสืบยังเวิร์คอยู่
และช่วงเวลาที่การสืบสวนด้วยเทคโนโลยี สัมฤทธิผลยิ่งกว่าการใช้เทคนิคเก่าของตำรวจสายสืบมือเก๋า
เป็นการมองว่าลูกเล่นใหม่ๆ ไม่ได้มาแทนที่ของเก่า แต่เข้ามาเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บให้ต่างหาก
[สรุป] Bad Boys for Life คือการกลับมาอีกครั้งของหนังสมัยเก่าอันเข้าท่า เพราะรู้จักปรับเปลี่ยนองค์ประกอบหลายอย่างให้ทันสมัย
เหตุการณ์ในท้องเรื่องเองก็เป็นจุดหักเหสำคัญสำหรับชีวิตของพวกตัวละคร จนต้องยอมรับว่านี่คือช่วงเวลาเหมาะที่จะแวะกลับไปเยี่ยมพวกเขาอีกครั้ง
เมื่อบวกกับฝีมือของคู่หูผกก.หน้าใหม่สำหรับหนังฟอร์มใหญ่ แต่เป็นคนที่ 'ใช่' ของผลงานเรื่องนี้พอดี
Bad Boys ภาค 3 จึงเป็นหนังตำรวจคู่หู, บู๊ปนตลก ซึ่งยอดเยี่ยมของพ.ศ.นี้ ในแบบที่เกินความคาดหมาย
COMMENTS