โรแลนด์ เอ็มเมอริช สร้างชื่อจากการผลิตภาพยนตร์เกี่ยวกับภัยพิบัติ แต่ผู้กำกับก็ยอมรับว่าไม่มีสิ่งใดเป็นภัยต่ออาชีพของเขา ยิ่งกว่า Independen...
โรแลนด์ เอ็มเมอริช สร้างชื่อจากการผลิตภาพยนตร์เกี่ยวกับภัยพิบัติ
แต่ผู้กำกับก็ยอมรับว่าไม่มีสิ่งใดเป็นภัยต่ออาชีพของเขา ยิ่งกว่า Independence Day: Resurgence แล้ว
นักสร้างหนังชาวเยอรมัน หวนคืนสู่จอเงินในมิดเวย์ (Midway) มหากาพย์แห่งสงครามโลกครั้งที่ 2
พร้อมบอกว่าเขาไม่น่าทำภาคต่อของหนังฟอร์มใหญ่ที่วิล สมิธ กับเจฟฟ์ โกลด์บลัม แสดงนำ และเคยกวาดรายได้กว่า 817.4 ล้านดอลลาร์ เมื่อค.ศ. 1996
ภาคต่อปี 2016 ได้โกลด์บลัม กับบิลล์ พูลแมนกลับมา ทว่าขาดวิล สมิธ
มันประสบความล้มเหลวทั้งคำวิจารณ์และรายได้ เก็บไปเพียง 389.7 ล้านดอลลาร์ตลอดการฉาย
แถมเหลือแผลเป็นในใจไว้ให้เอ็มเมอริชอีกต่างหาก
"ผมแค่อยากทำหนังที่เหมือนภาคแรก" เอ็มเมอริชอธิบายแก่ Yahoo Movies UK
"แต่ขณะโครงการไปได้ครึ่งทาง วิล สมิธ กลับออกจากงานเพราะต้องการเล่นเรื่อง Suicide Squad"
"ผมควรหยุดทำหนังซะเพราะตอนนั้นเรามีบทที่ดีกว่านี้เยอะ แต่ผมดันทุรังแก้ไขและพัฒนาบทใหม่ แบบต้องให้เสร็จโดยเร่งด่วน" เขากล่าวเสริม
"ผมควรพูดว่า 'ไม่' และวางมือ ตั้งแต่ตอนได้งานสร้างหนัง 'ภาคต่อ' ซึ่งขัดกับนโยบายส่วนตัวแล้ว"
ความผิดหวังจากการสร้าง Independence Day: Resurgence คือหนึ่งในหลายสาเหตุที่ส่งผลให้เอ็มเมอริชใช้เวลาอยู่นาน
ก่อนจะกลับสู่วงการผลิตภาพยนตร์ เพื่อทำในสิ่งที่ใจรักใหม่อีกรอบ
ภาพยนตร์เรื่อง Midway จะกล่าวถึงเหตุการณ์จริงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
เกี่ยวกับยุทธนาวีระหว่างกองทัพอเมริกากับญี่ปุ่นแถวแปซิฟิค ที่เกิดขึ้นตามมาหลังเหตุการณ์ใหญ่ในเพิร์ล ฮาร์เบอร์ (Pearl Harbour)
บทสัมภาษณ์ส่วนที่เหลือจะแสดงความเห็นของโรแลนด์ เอ็มเมอริช ต่อหนังฟอร์มใหญ่เรื่องล่าสุดของเขา, การฝ่าฟันอุปสรรคหลายประการ
และแผนการผลิตหนังทุนต่ำ ที่เป็นดุจดั่งจดหมายรักสำหรับโรงภาพยนตร์...
คุณลือชื่อด้านสร้างหนังฟอร์มใหญ่ แต่ใน Midway มีอะไรพิเศษบ้างไหม ?
ขณะที่ผลงานเรื่องก่อนๆ ผมเนรมิตหลายสิ่งเอง, งวดนี้ผมแค่เล่าเรื่องไปตามประวัติศาสตร์
จึงมิอาจทำตามอำเภอใจเหมือนเก่า และจำต้องเล่าด้วยความแม่นยำยิ่ง
หนังมหากาพย์สงครามโลกครั้งที่ 2 ของอเมริกา มักมีฮีโร่และวายร้ายที่ชัดเจน
แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงความยำเกรงต่อชาวญี่ปุ่นอย่างสูง
ทำไมคุณถึงเลือกแสดงความขัดแย้งในลักษณะนี้ ?
ผมมองว่าการไม่นำเสนอเพียงฉากสู้รบต่อผู้ชม มันสำคัญมาก
ภาพยนตร์เลยมีประวัติศาสตร์ช่วง 6 เดือน อันบอกเล่าเรื่องราวเบื้องหลังของการรบใหญ่ด้วย
อีกเหตุผลคือ ผมไม่ต้องการให้มันเป็นหนังฉลองชัย แบบที่มีฉากโห่ร้องยินดีทั้งที่ผู้คนตายเกลื่อน
และผมก็อยากเคารพทั้งสองฝั่ง บางทีคงเพราะผมเป็นเยอรมันมั้ง
บิดาผมออกรบเพื่อเยอรมันแต่เขาไม่ใช่พวกนาซี
ผมโตมาโดยพ่อพร่ำบอกว่า 'ฮิตเลอร์คือมหันตภัยใหญ่สุดของเยอรมันนี' และเขารู้สึกแย่ที่หยุดอะไรไม่ได้
แน่ละว่าชายคนเดียวจะไปหวังทำสิ่งใดได้ แต่เขาก็ยังรู้สึกต้องรับผิดชอบอย่างยิ่งอยู่ดี
ทุกวันนี้เมื่อสร้างหนังสงคราม คุณห้ามสร้างศัตรูใหม่ตาม อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของผม
จะว่าไป ทำไมในหนังของคุณเรื่องก่อนๆ มีวีรบุรุษ/วีรสตรี ตามแบบฉบับอเมริกันฮีโร่โผล่ออกมาเรื่อย ?
ช่วงแรกๆ ของชีวิตผม, สมัยยังเด็ก, ผมได้ประจักษ์กับชีวิตตามแบบอเมริกันชน
ผมไปอเมริกาสองครั้งตอนอายุ 13 และ 14 มันส่งอิทธิพลต่อผมตอนอายุเท่านั้นเอาการ
หนึ่งในภาพยนตร์เรื่องโปรดของผมคือ Planet of the Apes มันกระทบใจผมสมัยยังไม่คิดจะไปเรียนด้านภาพยนตร์หรือการทำหนัง
พอผมเริ่มต้นศึกษาในโรงเรียนภาพยนตร์ที่มิวนิค ก็ได้ดูหนังเรื่อง Close Encounter of the Third Kind เวอร์ชั่นต้นฉบับที่ปารีส แล้วชอบมันมาจนถึงทุกวันนี้
ผมไม่อยากเป็นเหมือนวิม เวนเดอร์ส (ผกก.ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวงการหนังเยอรมันยุคใหม่) แบบเดียวกับที่เพื่อนร่วมวิทยาลัยหลายคนต้องการกัน
ผมอยากทำหนังที่ชอบ และผมชอบหนังอเมริกันมาก
คุณมองว่าแนวคิดเกี่ยวกับอเมริกันฮีโร่ เปลี่ยนไปจากสมัยคุณเริ่มทำหนังแค่ไหน หรือมันไม่เคยเปลี่ยนเลย ?
ผมเข้าสู่ฮอลลีวูดถูกจังหวะ ในขณะงานต้นฉบับและหลายสิ่งกำลังรุ่งเรือง แบบว่าถ้าคุณมีไอเดียใหม่ๆ เจ๋งๆ จะประสบความสำเร็จอย่างสูง
แต่ทุกวันนี้มันดันตรงกันข้าม ทุกคนเกลียดแนวคิดใหม่เอี่ยมถอดด้าม ทุกคนต้องการหนังแบบเดิมอีกรอบ, อีกรอบ และอีกรอบ
แล้วทุกครั้งต้องมีผ้าคลุมแปลกๆ ติดมาด้วย
คุณทำ Independence Day: Resurgence เพราะสตูดิโอบังคับหรือเปล่า ?
เรื่องซับซ้อนกว่านั้นพอสมควร ผมแค่อยากทำหนังที่เหมือนภาคแรก
แต่ขณะโครงการไปได้ครึ่งทาง วิล สมิธ กลับออกจากงานเพราะต้องการเล่นเรื่อง Suicide Squad
ผมควรหยุดทำหนังซะเพราะตอนนั้นเรามีบทที่ดีกว่านี้เยอะ แต่ผมดันทุรังแก้ไขและพัฒนาบทใหม่ แบบต้องให้เสร็จโดยเร่งด่วน
ผมควรพูดว่า 'ไม่' และวางมือ ตั้งแต่ตอนได้งานสร้างหนัง 'ภาคต่อ' ซึ่งขัดกับนโยบายส่วนตัวแล้ว
แต่อย่างว่า ชีวิตคนเราต้องเดินหน้าต่อ...ทว่าผมจินตนาการภาพตัวเองทำหนังแบบอื่นไม่ออก ดังนั้นคงก้มหน้าก้มตาทำหนังสไตล์อเมริกันต่อไปเรื่อยๆ
ตกลง Independence Day: Resurgence คือสาเหตุที่คุณเงียบหายไปพักใหญ่ใช่ไหม ?
สาเหตุคือผมอยากทำหนังเรื่องนี้ แต่ติดตรงที่สตูดิโอซึ่งชอบบทภาพยนตร์
ขอให้ผลิตโดยใช้ทุนสร้างแค่ 50-60 ล้านดอลลาร์ แล้วผมตอบว่า 'ไม่'
ผมใช้งบเพียง 100 ล้านทำสำเร็จก็อัศจรรย์จะแย่ละ ถ้าเป็นผู้กำกับคนอื่นอาจขอสัก 150 ล้าน
พวกเขาว่า 'เรื่องทำนองนี้ไม่มีมาตรฐานกำหนด' ผมจึงพยายามวิ่งเต้นเองหลายอย่าง มันเลยค่อนข้างใช้เวลาหน่อย
ตอนนั้นผมต้องรอถึงเทศกาลหนังเมืองคานส์รอบถัดไป ใช้เวลาร่วม 9-10 เดือน โชคดีที่มันโดนใจคนพอ จนได้เริ่มเดินหน้า
สำหรับภาพยนตร์เรื่องถัดไป ผมดักคอค่ายยูนิเวอร์แซลล่วงหน้าแล้วว่า 'ให้ผมจัดการเองเถอะพวก'
พวกเราจัดวางหลายสิ่งไว้แล้วตั้งแต่ตอนถ่ายทำ Midway และจะเริ่มเปิดกล้องเดือนเมษายน
ที่ต้องเตรียมตัวกันวุ่นวาย ก็เพราะทุกอย่างมันมักจะซับซ้อนกว่าที่คาดภายหลังเสมอ
เห็นได้ชัดว่าเหล่านักวิจารณ์จัดหนักใส่หนังคุณตลอด คุณกังวลเพราะเรื่องนี้บ้างมั้ย หรือ ณ จุดนี้ขอไม่แคร์สื่อละ ?
ผมต้องอยู่กับผลลัพธ์ดังกล่าวไปทั้งชีวิต เพราะงั้นผมย่อมแคร์บ้างอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ผมฉายรอบทดลองต่อผู้ชมเพื่อดูผลตอบรับก่อนทุกเรื่อง
เลยรู้ตัวอยู่เมื่อผลตอบรับไม่ค่อยดี และนั่นแหละคือตอนมีปัญหาจริงๆ
แต่รอบทดลองฉายของ Midway ผลตอบรับน่าตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าผู้ชมยอมรับ และนี่แหละช่วงเวลาที่ผมชอบในงานสายนี้
ตอนที่นั่งอยู่ในโรงกับผู้ชม 450 คน แล้วพวกเขาชื่นชมหนัง มันช่างน่าปลาบปลื้มนัก
คุณคิดว่าอะไรทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 โดนขุดมาทำหนังประจำ ?
เพราะมันเกี่ยวกับประชาธิปไตย หรือโลกเสรี ปะทะชาตินิยมสุดขั้ว, แนวคิดนี้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
ผมยอมรับว่าปีติยินดีที่ไม่ได้สร้างหนังเรื่องนี้ให้สมใจ ตั้งแต่สมัยอยากทำใหม่ๆ เมื่อ 20 ปีก่อน
เพราะปัจจุบันเวลาคุณมองไปรอบๆ จะพบว่าแนวคิดชาตินิยม, ขวาจัดกำลังเฟื่องฟู โลกทั้งใบกลายเป็นสถานที่อันตรายกว่าเดิมเล็กน้อย
การแสดงช่วงเวลา 75 ปีก่อนให้เห็นเป็นเรื่องดี, ผู้คนบางส่วนยอมตายเพื่ออิสรภาพและเพื่อคุ้มครองประชาธิปไตยจากฟาสซิสต์
บางทีนี่อาจเป็นช่วงที่เหมาะเหม็งสำหรับภาพยนตร์แบบนี้
คุณคิดว่าพลังแห่งโรงภาพยนตร์จะส่งผลต่อผู้คน สร้างอิทธิพลต่อพวกเขาได้สินะ ?
มันช่วยได้นิดหน่อย กระตุ้นได้เบาๆ ,ตอนนี้ทุกคนมองว่า The Day After Tomorrow สุดยอด แต่สมัยก่อนพวกเขาก็เปล่ามองแบบนั้น
คุณตระหนักเรื่องภาวะโลกร้อนก่อนใครเสมอเลย
ผมยินดีที่ภาพยนตร์เรื่องนั้นประสบความสำเร็จสุดๆ แต่มันก็ชวนผิดหวังนิดๆ
ที่ตอนนั้นผู้คน, อย่างน้อยก็หนังสือพิมพ์บางเจ้า, หัวเราะเยาะและบอกว่าคุณเชื่อหนังไม่ได้
ตอนนี้พวกเขาหัวเราะไม่ออกแล้ว
สำหรับภาพยนตร์เน้นความบันเทิง, หนังคุณดูจะแฝงสารถึงผู้ชมไว้ลึกๆ อยู่เรื่อย
คิดว่าคราวนี้พวกเขาจะเจอมันง่ายกว่าเดิมหรือเปล่า ?
ผมพยายามใส่อารมณ์ขันลงในภาพยนตร์ของตัวเองแล้ว และถ้าผ่าน 10 นาทีไปยังไม่ได้ยินเสียงหัวเราะผมคงเริ่มกังวล
ผมพยายามยั่วยุตลอดแหละ, แบบว่าใน The Day After Tomorrow ผมให้ชาวอเมริกันย่ำเข้าเม็กซิโกแบบผิดกฎหมายนะ นั่นควรเรียกเสียงฮา
คุณใส่สารแฝงลงในภาพยนตร์ได้เสมอ แต่ห้ามทำอะไรตรงไปตรงมา
ผลงานด้านความบันเทิงควรเป็นความบันเทิงไม่ต่ำกว่า 95 %
หนังของคนอื่นเรื่องล่าสุดที่คุณดูแล้วสนุกคือเรื่องไหน ?
Call Me By Your Name หนังโดนใจเพราะยุคสมัยตามท้องเรื่อง คือช่วงที่ผมเติบโตมา ผมรู้หมดเลยว่าตัวละครเอ่ยถึงสิ่งใด
อีกเรื่องก็ Logan, สองเรื่องนี้เป็นหนังดีที่ผมได้ดูผ่านตาช่วงล่าสุด
น่าสนใจที่คุณเลือก Logan, หนังมีความเป็นเอกเทศมากกว่าความเป็นภาคต่อ
ทราบมาว่าเมื่อก่อนคุณปฏิเสธจะทำหนัง Spider-Man
แต่ถ้ามีข้อเสนอให้ทำภาพยนตร์จากหนังสือการ์ตูนซึ่งค่อนข้างเป็นเอกเทศ คุณจะสนใจมั้ย ?
ไม่น่ามีใครให้ผมทำงั้นมั้ง และผมคงไม่เหมาะกับการกำกับหนังทำนองนั้น
เจมส์ แมนโกลด์/ผู้กำกับ Logan เคยบอกว่าเจอคนสั่งให้ทำอะไรไม่เข้าท่าอยู่เรื่อย
ทุกครั้งเขาต้องคอยตอกกลับว่า 'ถ้าอยากได้หนังตลกแบบเดดพูล ขอลาออก'
การยืนหยัดลักษณะดังกล่าวทำได้ยาก แต่เขาก็ยืนกรานจะต่อสู้เพื่อมัน เพราะฉะนั้นหนังจึงออกมาดี
คุณจะทำหนังทุนต่ำแบบ Call Me By Your Name บ้างไหม ?
ทุนสร้างขึ้นอยู่กับตัวหนัง, ผมชอบพัฒนาโครงการและมีแผนทำหนังในใจวางเรียงไว้เป็นลำดับ
ตัวอย่างเช่น เรื่องถัดจากเรื่องถัดไปซึ่งจะฟอร์มใหญ่กว่า Midway, ผมอยากทำหนังฟอร์มเล็กดู มันจะเป็นดั่งจดหมายรักสำหรับภาพยนตร์
โดยส่วนใหญ่จะถ่ายทำในลักษณะของหนังเงียบ แบบเดียวกับหนังยุคแรกๆ ของฮอลลีวูด
แรงบันดาลใจคือ Cinema Paradiso/หนังอันดับ 1 ในดวงใจตลอดกาลของผม
ผมต้องการเขียนจดหมายรักส่งให้ภาพยนตร์เหมือนหนังเรื่องดังกล่าว
แต่ผู้กำกับก็ยอมรับว่าไม่มีสิ่งใดเป็นภัยต่ออาชีพของเขา ยิ่งกว่า Independence Day: Resurgence แล้ว
นักสร้างหนังชาวเยอรมัน หวนคืนสู่จอเงินในมิดเวย์ (Midway) มหากาพย์แห่งสงครามโลกครั้งที่ 2
พร้อมบอกว่าเขาไม่น่าทำภาคต่อของหนังฟอร์มใหญ่ที่วิล สมิธ กับเจฟฟ์ โกลด์บลัม แสดงนำ และเคยกวาดรายได้กว่า 817.4 ล้านดอลลาร์ เมื่อค.ศ. 1996
Midway
ภาคต่อปี 2016 ได้โกลด์บลัม กับบิลล์ พูลแมนกลับมา ทว่าขาดวิล สมิธ
มันประสบความล้มเหลวทั้งคำวิจารณ์และรายได้ เก็บไปเพียง 389.7 ล้านดอลลาร์ตลอดการฉาย
แถมเหลือแผลเป็นในใจไว้ให้เอ็มเมอริชอีกต่างหาก
"ผมแค่อยากทำหนังที่เหมือนภาคแรก" เอ็มเมอริชอธิบายแก่ Yahoo Movies UK
"แต่ขณะโครงการไปได้ครึ่งทาง วิล สมิธ กลับออกจากงานเพราะต้องการเล่นเรื่อง Suicide Squad"
"ผมควรหยุดทำหนังซะเพราะตอนนั้นเรามีบทที่ดีกว่านี้เยอะ แต่ผมดันทุรังแก้ไขและพัฒนาบทใหม่ แบบต้องให้เสร็จโดยเร่งด่วน" เขากล่าวเสริม
"ผมควรพูดว่า 'ไม่' และวางมือ ตั้งแต่ตอนได้งานสร้างหนัง 'ภาคต่อ' ซึ่งขัดกับนโยบายส่วนตัวแล้ว"
ความผิดหวังจากการสร้าง Independence Day: Resurgence คือหนึ่งในหลายสาเหตุที่ส่งผลให้เอ็มเมอริชใช้เวลาอยู่นาน
ก่อนจะกลับสู่วงการผลิตภาพยนตร์ เพื่อทำในสิ่งที่ใจรักใหม่อีกรอบ
โรแลนด์ เอ็มเมอริช
ภาพยนตร์เรื่อง Midway จะกล่าวถึงเหตุการณ์จริงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
เกี่ยวกับยุทธนาวีระหว่างกองทัพอเมริกากับญี่ปุ่นแถวแปซิฟิค ที่เกิดขึ้นตามมาหลังเหตุการณ์ใหญ่ในเพิร์ล ฮาร์เบอร์ (Pearl Harbour)
บทสัมภาษณ์ส่วนที่เหลือจะแสดงความเห็นของโรแลนด์ เอ็มเมอริช ต่อหนังฟอร์มใหญ่เรื่องล่าสุดของเขา, การฝ่าฟันอุปสรรคหลายประการ
และแผนการผลิตหนังทุนต่ำ ที่เป็นดุจดั่งจดหมายรักสำหรับโรงภาพยนตร์...
คุณลือชื่อด้านสร้างหนังฟอร์มใหญ่ แต่ใน Midway มีอะไรพิเศษบ้างไหม ?
ขณะที่ผลงานเรื่องก่อนๆ ผมเนรมิตหลายสิ่งเอง, งวดนี้ผมแค่เล่าเรื่องไปตามประวัติศาสตร์
จึงมิอาจทำตามอำเภอใจเหมือนเก่า และจำต้องเล่าด้วยความแม่นยำยิ่ง
หนังมหากาพย์สงครามโลกครั้งที่ 2 ของอเมริกา มักมีฮีโร่และวายร้ายที่ชัดเจน
แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงความยำเกรงต่อชาวญี่ปุ่นอย่างสูง
ทำไมคุณถึงเลือกแสดงความขัดแย้งในลักษณะนี้ ?
ผมมองว่าการไม่นำเสนอเพียงฉากสู้รบต่อผู้ชม มันสำคัญมาก
ภาพยนตร์เลยมีประวัติศาสตร์ช่วง 6 เดือน อันบอกเล่าเรื่องราวเบื้องหลังของการรบใหญ่ด้วย
อีกเหตุผลคือ ผมไม่ต้องการให้มันเป็นหนังฉลองชัย แบบที่มีฉากโห่ร้องยินดีทั้งที่ผู้คนตายเกลื่อน
และผมก็อยากเคารพทั้งสองฝั่ง บางทีคงเพราะผมเป็นเยอรมันมั้ง
บิดาผมออกรบเพื่อเยอรมันแต่เขาไม่ใช่พวกนาซี
ผมโตมาโดยพ่อพร่ำบอกว่า 'ฮิตเลอร์คือมหันตภัยใหญ่สุดของเยอรมันนี' และเขารู้สึกแย่ที่หยุดอะไรไม่ได้
แน่ละว่าชายคนเดียวจะไปหวังทำสิ่งใดได้ แต่เขาก็ยังรู้สึกต้องรับผิดชอบอย่างยิ่งอยู่ดี
ทุกวันนี้เมื่อสร้างหนังสงคราม คุณห้ามสร้างศัตรูใหม่ตาม อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของผม
จะว่าไป ทำไมในหนังของคุณเรื่องก่อนๆ มีวีรบุรุษ/วีรสตรี ตามแบบฉบับอเมริกันฮีโร่โผล่ออกมาเรื่อย ?
ช่วงแรกๆ ของชีวิตผม, สมัยยังเด็ก, ผมได้ประจักษ์กับชีวิตตามแบบอเมริกันชน
ผมไปอเมริกาสองครั้งตอนอายุ 13 และ 14 มันส่งอิทธิพลต่อผมตอนอายุเท่านั้นเอาการ
หนึ่งในภาพยนตร์เรื่องโปรดของผมคือ Planet of the Apes มันกระทบใจผมสมัยยังไม่คิดจะไปเรียนด้านภาพยนตร์หรือการทำหนัง
พอผมเริ่มต้นศึกษาในโรงเรียนภาพยนตร์ที่มิวนิค ก็ได้ดูหนังเรื่อง Close Encounter of the Third Kind เวอร์ชั่นต้นฉบับที่ปารีส แล้วชอบมันมาจนถึงทุกวันนี้
ผมไม่อยากเป็นเหมือนวิม เวนเดอร์ส (ผกก.ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวงการหนังเยอรมันยุคใหม่) แบบเดียวกับที่เพื่อนร่วมวิทยาลัยหลายคนต้องการกัน
ผมอยากทำหนังที่ชอบ และผมชอบหนังอเมริกันมาก
Close Encounter of the Third Kind (1977)
คุณมองว่าแนวคิดเกี่ยวกับอเมริกันฮีโร่ เปลี่ยนไปจากสมัยคุณเริ่มทำหนังแค่ไหน หรือมันไม่เคยเปลี่ยนเลย ?
ผมเข้าสู่ฮอลลีวูดถูกจังหวะ ในขณะงานต้นฉบับและหลายสิ่งกำลังรุ่งเรือง แบบว่าถ้าคุณมีไอเดียใหม่ๆ เจ๋งๆ จะประสบความสำเร็จอย่างสูง
แต่ทุกวันนี้มันดันตรงกันข้าม ทุกคนเกลียดแนวคิดใหม่เอี่ยมถอดด้าม ทุกคนต้องการหนังแบบเดิมอีกรอบ, อีกรอบ และอีกรอบ
แล้วทุกครั้งต้องมีผ้าคลุมแปลกๆ ติดมาด้วย
คุณทำ Independence Day: Resurgence เพราะสตูดิโอบังคับหรือเปล่า ?
เรื่องซับซ้อนกว่านั้นพอสมควร ผมแค่อยากทำหนังที่เหมือนภาคแรก
แต่ขณะโครงการไปได้ครึ่งทาง วิล สมิธ กลับออกจากงานเพราะต้องการเล่นเรื่อง Suicide Squad
ผมควรหยุดทำหนังซะเพราะตอนนั้นเรามีบทที่ดีกว่านี้เยอะ แต่ผมดันทุรังแก้ไขและพัฒนาบทใหม่ แบบต้องให้เสร็จโดยเร่งด่วน
ผมควรพูดว่า 'ไม่' และวางมือ ตั้งแต่ตอนได้งานสร้างหนัง 'ภาคต่อ' ซึ่งขัดกับนโยบายส่วนตัวแล้ว
แต่อย่างว่า ชีวิตคนเราต้องเดินหน้าต่อ...ทว่าผมจินตนาการภาพตัวเองทำหนังแบบอื่นไม่ออก ดังนั้นคงก้มหน้าก้มตาทำหนังสไตล์อเมริกันต่อไปเรื่อยๆ
ตกลง Independence Day: Resurgence คือสาเหตุที่คุณเงียบหายไปพักใหญ่ใช่ไหม ?
สาเหตุคือผมอยากทำหนังเรื่องนี้ แต่ติดตรงที่สตูดิโอซึ่งชอบบทภาพยนตร์
ขอให้ผลิตโดยใช้ทุนสร้างแค่ 50-60 ล้านดอลลาร์ แล้วผมตอบว่า 'ไม่'
ผมใช้งบเพียง 100 ล้านทำสำเร็จก็อัศจรรย์จะแย่ละ ถ้าเป็นผู้กำกับคนอื่นอาจขอสัก 150 ล้าน
พวกเขาว่า 'เรื่องทำนองนี้ไม่มีมาตรฐานกำหนด' ผมจึงพยายามวิ่งเต้นเองหลายอย่าง มันเลยค่อนข้างใช้เวลาหน่อย
ตอนนั้นผมต้องรอถึงเทศกาลหนังเมืองคานส์รอบถัดไป ใช้เวลาร่วม 9-10 เดือน โชคดีที่มันโดนใจคนพอ จนได้เริ่มเดินหน้า
สำหรับภาพยนตร์เรื่องถัดไป ผมดักคอค่ายยูนิเวอร์แซลล่วงหน้าแล้วว่า 'ให้ผมจัดการเองเถอะพวก'
พวกเราจัดวางหลายสิ่งไว้แล้วตั้งแต่ตอนถ่ายทำ Midway และจะเริ่มเปิดกล้องเดือนเมษายน
ที่ต้องเตรียมตัวกันวุ่นวาย ก็เพราะทุกอย่างมันมักจะซับซ้อนกว่าที่คาดภายหลังเสมอ
เห็นได้ชัดว่าเหล่านักวิจารณ์จัดหนักใส่หนังคุณตลอด คุณกังวลเพราะเรื่องนี้บ้างมั้ย หรือ ณ จุดนี้ขอไม่แคร์สื่อละ ?
ผมต้องอยู่กับผลลัพธ์ดังกล่าวไปทั้งชีวิต เพราะงั้นผมย่อมแคร์บ้างอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ผมฉายรอบทดลองต่อผู้ชมเพื่อดูผลตอบรับก่อนทุกเรื่อง
เลยรู้ตัวอยู่เมื่อผลตอบรับไม่ค่อยดี และนั่นแหละคือตอนมีปัญหาจริงๆ
แต่รอบทดลองฉายของ Midway ผลตอบรับน่าตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าผู้ชมยอมรับ และนี่แหละช่วงเวลาที่ผมชอบในงานสายนี้
ตอนที่นั่งอยู่ในโรงกับผู้ชม 450 คน แล้วพวกเขาชื่นชมหนัง มันช่างน่าปลาบปลื้มนัก
คุณคิดว่าอะไรทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 โดนขุดมาทำหนังประจำ ?
เพราะมันเกี่ยวกับประชาธิปไตย หรือโลกเสรี ปะทะชาตินิยมสุดขั้ว, แนวคิดนี้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
ผมยอมรับว่าปีติยินดีที่ไม่ได้สร้างหนังเรื่องนี้ให้สมใจ ตั้งแต่สมัยอยากทำใหม่ๆ เมื่อ 20 ปีก่อน
เพราะปัจจุบันเวลาคุณมองไปรอบๆ จะพบว่าแนวคิดชาตินิยม, ขวาจัดกำลังเฟื่องฟู โลกทั้งใบกลายเป็นสถานที่อันตรายกว่าเดิมเล็กน้อย
การแสดงช่วงเวลา 75 ปีก่อนให้เห็นเป็นเรื่องดี, ผู้คนบางส่วนยอมตายเพื่ออิสรภาพและเพื่อคุ้มครองประชาธิปไตยจากฟาสซิสต์
บางทีนี่อาจเป็นช่วงที่เหมาะเหม็งสำหรับภาพยนตร์แบบนี้
คุณคิดว่าพลังแห่งโรงภาพยนตร์จะส่งผลต่อผู้คน สร้างอิทธิพลต่อพวกเขาได้สินะ ?
มันช่วยได้นิดหน่อย กระตุ้นได้เบาๆ ,ตอนนี้ทุกคนมองว่า The Day After Tomorrow สุดยอด แต่สมัยก่อนพวกเขาก็เปล่ามองแบบนั้น
คุณตระหนักเรื่องภาวะโลกร้อนก่อนใครเสมอเลย
ผมยินดีที่ภาพยนตร์เรื่องนั้นประสบความสำเร็จสุดๆ แต่มันก็ชวนผิดหวังนิดๆ
ที่ตอนนั้นผู้คน, อย่างน้อยก็หนังสือพิมพ์บางเจ้า, หัวเราะเยาะและบอกว่าคุณเชื่อหนังไม่ได้
ตอนนี้พวกเขาหัวเราะไม่ออกแล้ว
สำหรับภาพยนตร์เน้นความบันเทิง, หนังคุณดูจะแฝงสารถึงผู้ชมไว้ลึกๆ อยู่เรื่อย
คิดว่าคราวนี้พวกเขาจะเจอมันง่ายกว่าเดิมหรือเปล่า ?
ผมพยายามใส่อารมณ์ขันลงในภาพยนตร์ของตัวเองแล้ว และถ้าผ่าน 10 นาทีไปยังไม่ได้ยินเสียงหัวเราะผมคงเริ่มกังวล
ผมพยายามยั่วยุตลอดแหละ, แบบว่าใน The Day After Tomorrow ผมให้ชาวอเมริกันย่ำเข้าเม็กซิโกแบบผิดกฎหมายนะ นั่นควรเรียกเสียงฮา
คุณใส่สารแฝงลงในภาพยนตร์ได้เสมอ แต่ห้ามทำอะไรตรงไปตรงมา
ผลงานด้านความบันเทิงควรเป็นความบันเทิงไม่ต่ำกว่า 95 %
หนังของคนอื่นเรื่องล่าสุดที่คุณดูแล้วสนุกคือเรื่องไหน ?
Call Me By Your Name หนังโดนใจเพราะยุคสมัยตามท้องเรื่อง คือช่วงที่ผมเติบโตมา ผมรู้หมดเลยว่าตัวละครเอ่ยถึงสิ่งใด
อีกเรื่องก็ Logan, สองเรื่องนี้เป็นหนังดีที่ผมได้ดูผ่านตาช่วงล่าสุด
Call Me By Your Name
น่าสนใจที่คุณเลือก Logan, หนังมีความเป็นเอกเทศมากกว่าความเป็นภาคต่อ
ทราบมาว่าเมื่อก่อนคุณปฏิเสธจะทำหนัง Spider-Man
แต่ถ้ามีข้อเสนอให้ทำภาพยนตร์จากหนังสือการ์ตูนซึ่งค่อนข้างเป็นเอกเทศ คุณจะสนใจมั้ย ?
ไม่น่ามีใครให้ผมทำงั้นมั้ง และผมคงไม่เหมาะกับการกำกับหนังทำนองนั้น
เจมส์ แมนโกลด์/ผู้กำกับ Logan เคยบอกว่าเจอคนสั่งให้ทำอะไรไม่เข้าท่าอยู่เรื่อย
ทุกครั้งเขาต้องคอยตอกกลับว่า 'ถ้าอยากได้หนังตลกแบบเดดพูล ขอลาออก'
การยืนหยัดลักษณะดังกล่าวทำได้ยาก แต่เขาก็ยืนกรานจะต่อสู้เพื่อมัน เพราะฉะนั้นหนังจึงออกมาดี
Logan
คุณจะทำหนังทุนต่ำแบบ Call Me By Your Name บ้างไหม ?
ทุนสร้างขึ้นอยู่กับตัวหนัง, ผมชอบพัฒนาโครงการและมีแผนทำหนังในใจวางเรียงไว้เป็นลำดับ
ตัวอย่างเช่น เรื่องถัดจากเรื่องถัดไปซึ่งจะฟอร์มใหญ่กว่า Midway, ผมอยากทำหนังฟอร์มเล็กดู มันจะเป็นดั่งจดหมายรักสำหรับภาพยนตร์
โดยส่วนใหญ่จะถ่ายทำในลักษณะของหนังเงียบ แบบเดียวกับหนังยุคแรกๆ ของฮอลลีวูด
แรงบันดาลใจคือ Cinema Paradiso/หนังอันดับ 1 ในดวงใจตลอดกาลของผม
ผมต้องการเขียนจดหมายรักส่งให้ภาพยนตร์เหมือนหนังเรื่องดังกล่าว
Cinema Paradiso
ที่มา https://uk.movies.yahoo.com/independence-day-director-roland-emmerich-regrets-making-sequel-i-should-have-said-no-midway-134645864.html
COMMENTS