แม้รู้ล่วงหน้าจากผู้กำกับเดวิด แซนด์เบิร์กแล้วว่า Shazam! จะคล้ายพวกหนังยุค 1980s ที่ถึงดาร์คก็ยังฮา แต่ด้วยตัวอย่างหนังที่ปล่อยสารพัดมุกตล...
แม้รู้ล่วงหน้าจากผู้กำกับเดวิด แซนด์เบิร์กแล้วว่า Shazam! จะคล้ายพวกหนังยุค 1980s ที่ถึงดาร์คก็ยังฮา
แต่ด้วยตัวอย่างหนังที่ปล่อยสารพัดมุกตลกมาประชาสัมพันธ์ มันก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าหนังเค้าคงบู๊ปนตลกคล้าย Ant-Man ของค่ายมาร์เวล
ปรากฏว่าไม่ใช่, Shazam! เวลาเดินเรื่องบรรยากาศค่อนข้างมืดหม่นจริงจัง ตัวอย่างเช่น
- บรรยากาศที่เราจะรู้สึกตอนภาพยนตร์ถ่ายทอดเนื้อเรื่องของฝ่ายตัวร้าย 'ซิวานา'
- ความว้าเหว่ที่บิลลี่ แบทสันประสบ ยามหนังขยี้ปมปัญหาเรื่องมารดา
- หรือเวลาเฟรดดี้ผู้ขาพิการโดนนักเลงรังแก และคนรอบข้างพากันเสแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นหัวเขา
ความฮาแค่มาตามสถานการณ์ โดยส่วนใหญ่เกิดจากความที่ตัวละครคือฮีโร่เด็กในร่างผู้ใหญ่ และรับพลังชาแซมมาแบบงงๆ จนจับต้นชนปลายหาวิธีใช้ไม่ถูก
แถมยังมีความเหลิงใช้มันเล่นสนุกตามอำเภอใจ กับทดสอบอะไรแปลกๆ เต็มไปหมดอีกต่างหาก
ซึ่งถือว่าดีเพราะมุกตลกแทบทุกอย่าง สัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติ
สอดแทรกเข้าไปในเรื่องตามสถานการณ์ หาใช่จงใจใส่มุกเพื่อลดความเครียดยามรับชม หรือจงใจทำให้หนังตลกเพื่อใช้ตรงนี้เป็นจุดขาย
ไหนจะความอบอุ่นหัวใจหลังรับชม ที่เกิดเพราะหนังเล่นประเด็นเรื่องครอบครัวอันชูไว้เป็นจุดขายได้อย่างเหมาะสม
เพราะค่อยๆ แบ่งบทกระจายใส่พวกเด็กๆ ในครอบครัวอุปถัมภ์ล่าสุดของพระเอกแบบเน้นให้บทพาไป (แต่ละคนบทมากน้อยไม่เท่าเทียม) ไม่ใช่แบ่งบททุกคนเท่ากัน เพื่อพยายามให้เราจดจำทุกคนได้แจ่มชัด
และเชื่อว่าแค่คุณจำบุคลิกของแต่ละคนไว้ลางๆ แบบไม่ต้องพยายามมากมาย
ก็สามารถสนุกสนานไปกับเนื้อหา อันเกี่ยวข้องกับครอบครัวอุปถัมภ์ในช่วงท้ายเรื่องได้สบายๆ
นอกเหนือจากการวางองค์ประกอบหลักทั้ง 3 (ความตลก, มืดมน, อบอุ่น) แบบพอดีๆ ที่ทำให้ Shazam! มีความเป็นตัวของตัวเอง และมอบความรู้สึกสดใหม่ยามรับชมบางอย่าง ซึ่งต่างจากหนังต้นกำเนิดฮีโร่หลายเรื่องที่วงการบันเทิงเคยผลิตขึ้นเผยแพร่มา
Shazam! ยังรู้ตัวว่าในหนัง 1 เรื่องควรนำเสนออะไรไว้แค่ไหน (ต่างจากหนังดีซีแบบ BvS, Suicide Squad หรือ Justice League)
อาทิเช่น
- แม้พลังชาแซมสูงไม่เบา เอาภยันตรายยิ่งใหญ่ที่รอให้ฮีโร่ระดับนี้ช่วยจัดการมาแฝงไว้ในหนังบ้างยังได้ แต่กลับเน้นเล่าชีวิตพระเอกกับครอบครัว, ตัววายร้ายก็พุ่งเป้าไปที่ชาแซมเป็นหลัก
- แง้มให้คนดูรู้เรื่อง 'เวทมนตร์' ในจักรวาลภาพยนตร์ดีซีเพียงนิดหน่อย รอให้จับประเด็นเล่นต่อภายภาคหน้า
- หรือใส่องค์ประกอบที่ชวนให้หวนรำลึกนึกถึงหนังดีซีเรื่องอื่นๆ มา ในแบบที่ถึงไม่เข้าใจก็ไม่เสียอรรถรสตอนดู (เช่น ของเล่นทีมจัสติสลีคบนชั้นวางห้างสรรพสินค้า)
ทำเอานึกถึงหนังฮีโร่ค่ายมาร์เวล ที่การวางองค์ประกอบกับนำเสนอเนื้อหาคงมาตรฐานดังกล่าวไว้ได้เสมอ
เป็นสัญญาณที่ดีว่าเวลานี้ฝั่งดีซีเริ่มมาถูกทาง และไม่กลัวข้อหาเลียนแบบวิธีนำเสนอแล้ว
ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ควรกลัวเลย เพราะวิธีนี้เหมาะสำหรับการสร้างรากฐานจักรวาลฮีโร่นัก
(ถ้าบางเรื่องอยากดาร์ค, อยากวางองค์ประกอบซับซ้อน หรืออยากสร้างอะไรที่สไตล์เป็นตัวของตัวเองจัดๆ
รอจังหวะลงตัว, ฮีโร่ที่ใช่, ไม่ก็ปูพื้นฐานจักรวาลให้ทุกคนเข้าใจก่อนค่อยสร้างเถอะ)
ข้อเสียของหนังเท่าที่นึกออก คือฉากบู๊ขาดลีลาท่วงท่าเท่ๆ, ขาดความดุดัน, เร้าใจ และทรงพลัง หากเปรียบเทียบมันกับหนังดีซีเรื่องก่อนๆ
กับบุคลิกของ แอชเชอร์ แองเจิล/ดาราวัยรุ่นที่รับบทบิลลี่ แบทสัน ดูขรึมๆ
ไม่เฮฮาเท่าตอนแซคคารี่ ลีวาย/ดาราวัยผู้ใหญ่ที่รับบทบิลลี่ยามแปลงร่างเป็นชาแซมแสดงออก
ทำให้ตะขิดตะขวงใจไม่สามารถเชื่อเต็ม 100 ว่าทั้งสองคือคนๆ เดียวกัน
แต่ข้อเสียทั้งสองอย่างรู้สึกถึงไม่มากเท่าไหร่ และสามารถมองข้ามไปเพื่อดูหนังให้สนุกไม่ยาก
ผลตอบรับในเชิงบวกต่อ Shazam!, Aquaman, Wonder Woman ส่งผลให้อนาคตจักรวาลดีซีเริ่มสดใส
และแว่วข่าวว่าทางผู้สร้างต้องการผลักดันหนังฮีโร่ฉายเดี่ยวลักษณะเดียวกันตามๆ มา
ซึ่งถ้าดูแลการผลิตกัน ให้ผลงานอีกหลายเรื่องรักษามาตรฐานนี้ได้ คงไม่มีปัญหา
เพียงแต่เมื่อถึงจุดนึงหนังรวมฮีโร่คือสิ่งที่ต้องมา
ฉะนั้นหวังว่าจะไม่มัวทำหนังเดี่ยวเพลิน จนลืมปูทางวางแผนให้เกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ในภายภาคหน้า
--สรุป-- 'Shazam!' นำเสนอชีวิตของฮีโร่เด็กในร่างผู้ใหญ่อย่างเหมาะสม โดยแฝงความมืดมนลงไป, สื่อสาระสำคัญของเรื่องราวที่เกี่ยวกับครอบครัวให้คนดูรับรู้ได้สำเร็จ ชวนให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจ และใช้สถานการณ์ตามท้องเรื่องสร้างความตลกขบขันแบบเป็นธรรมชาติ
แถมยังนำเสนอสิ่งต่างๆ ไว้แบบพอดีไม่มากไป แม้เป็นส่วนหนึ่งในจักรวาลหนังแสนกว้างใหญ่และซับซ้อนของเหล่าฮีโร่ใต้ร่มใบค่ายดีซี
แต่ด้วยตัวอย่างหนังที่ปล่อยสารพัดมุกตลกมาประชาสัมพันธ์ มันก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าหนังเค้าคงบู๊ปนตลกคล้าย Ant-Man ของค่ายมาร์เวล
ปรากฏว่าไม่ใช่, Shazam! เวลาเดินเรื่องบรรยากาศค่อนข้างมืดหม่นจริงจัง ตัวอย่างเช่น
- บรรยากาศที่เราจะรู้สึกตอนภาพยนตร์ถ่ายทอดเนื้อเรื่องของฝ่ายตัวร้าย 'ซิวานา'
- ความว้าเหว่ที่บิลลี่ แบทสันประสบ ยามหนังขยี้ปมปัญหาเรื่องมารดา
- หรือเวลาเฟรดดี้ผู้ขาพิการโดนนักเลงรังแก และคนรอบข้างพากันเสแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นหัวเขา
ความฮาแค่มาตามสถานการณ์ โดยส่วนใหญ่เกิดจากความที่ตัวละครคือฮีโร่เด็กในร่างผู้ใหญ่ และรับพลังชาแซมมาแบบงงๆ จนจับต้นชนปลายหาวิธีใช้ไม่ถูก
แถมยังมีความเหลิงใช้มันเล่นสนุกตามอำเภอใจ กับทดสอบอะไรแปลกๆ เต็มไปหมดอีกต่างหาก
ซึ่งถือว่าดีเพราะมุกตลกแทบทุกอย่าง สัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติ
สอดแทรกเข้าไปในเรื่องตามสถานการณ์ หาใช่จงใจใส่มุกเพื่อลดความเครียดยามรับชม หรือจงใจทำให้หนังตลกเพื่อใช้ตรงนี้เป็นจุดขาย
ไหนจะความอบอุ่นหัวใจหลังรับชม ที่เกิดเพราะหนังเล่นประเด็นเรื่องครอบครัวอันชูไว้เป็นจุดขายได้อย่างเหมาะสม
เพราะค่อยๆ แบ่งบทกระจายใส่พวกเด็กๆ ในครอบครัวอุปถัมภ์ล่าสุดของพระเอกแบบเน้นให้บทพาไป (แต่ละคนบทมากน้อยไม่เท่าเทียม) ไม่ใช่แบ่งบททุกคนเท่ากัน เพื่อพยายามให้เราจดจำทุกคนได้แจ่มชัด
และเชื่อว่าแค่คุณจำบุคลิกของแต่ละคนไว้ลางๆ แบบไม่ต้องพยายามมากมาย
ก็สามารถสนุกสนานไปกับเนื้อหา อันเกี่ยวข้องกับครอบครัวอุปถัมภ์ในช่วงท้ายเรื่องได้สบายๆ
นอกเหนือจากการวางองค์ประกอบหลักทั้ง 3 (ความตลก, มืดมน, อบอุ่น) แบบพอดีๆ ที่ทำให้ Shazam! มีความเป็นตัวของตัวเอง และมอบความรู้สึกสดใหม่ยามรับชมบางอย่าง ซึ่งต่างจากหนังต้นกำเนิดฮีโร่หลายเรื่องที่วงการบันเทิงเคยผลิตขึ้นเผยแพร่มา
Shazam! ยังรู้ตัวว่าในหนัง 1 เรื่องควรนำเสนออะไรไว้แค่ไหน (ต่างจากหนังดีซีแบบ BvS, Suicide Squad หรือ Justice League)
อาทิเช่น
- แม้พลังชาแซมสูงไม่เบา เอาภยันตรายยิ่งใหญ่ที่รอให้ฮีโร่ระดับนี้ช่วยจัดการมาแฝงไว้ในหนังบ้างยังได้ แต่กลับเน้นเล่าชีวิตพระเอกกับครอบครัว, ตัววายร้ายก็พุ่งเป้าไปที่ชาแซมเป็นหลัก
- แง้มให้คนดูรู้เรื่อง 'เวทมนตร์' ในจักรวาลภาพยนตร์ดีซีเพียงนิดหน่อย รอให้จับประเด็นเล่นต่อภายภาคหน้า
- หรือใส่องค์ประกอบที่ชวนให้หวนรำลึกนึกถึงหนังดีซีเรื่องอื่นๆ มา ในแบบที่ถึงไม่เข้าใจก็ไม่เสียอรรถรสตอนดู (เช่น ของเล่นทีมจัสติสลีคบนชั้นวางห้างสรรพสินค้า)
ทำเอานึกถึงหนังฮีโร่ค่ายมาร์เวล ที่การวางองค์ประกอบกับนำเสนอเนื้อหาคงมาตรฐานดังกล่าวไว้ได้เสมอ
เป็นสัญญาณที่ดีว่าเวลานี้ฝั่งดีซีเริ่มมาถูกทาง และไม่กลัวข้อหาเลียนแบบวิธีนำเสนอแล้ว
ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ควรกลัวเลย เพราะวิธีนี้เหมาะสำหรับการสร้างรากฐานจักรวาลฮีโร่นัก
(ถ้าบางเรื่องอยากดาร์ค, อยากวางองค์ประกอบซับซ้อน หรืออยากสร้างอะไรที่สไตล์เป็นตัวของตัวเองจัดๆ
รอจังหวะลงตัว, ฮีโร่ที่ใช่, ไม่ก็ปูพื้นฐานจักรวาลให้ทุกคนเข้าใจก่อนค่อยสร้างเถอะ)
ข้อเสียของหนังเท่าที่นึกออก คือฉากบู๊ขาดลีลาท่วงท่าเท่ๆ, ขาดความดุดัน, เร้าใจ และทรงพลัง หากเปรียบเทียบมันกับหนังดีซีเรื่องก่อนๆ
กับบุคลิกของ แอชเชอร์ แองเจิล/ดาราวัยรุ่นที่รับบทบิลลี่ แบทสัน ดูขรึมๆ
ไม่เฮฮาเท่าตอนแซคคารี่ ลีวาย/ดาราวัยผู้ใหญ่ที่รับบทบิลลี่ยามแปลงร่างเป็นชาแซมแสดงออก
ทำให้ตะขิดตะขวงใจไม่สามารถเชื่อเต็ม 100 ว่าทั้งสองคือคนๆ เดียวกัน
แต่ข้อเสียทั้งสองอย่างรู้สึกถึงไม่มากเท่าไหร่ และสามารถมองข้ามไปเพื่อดูหนังให้สนุกไม่ยาก
ผลตอบรับในเชิงบวกต่อ Shazam!, Aquaman, Wonder Woman ส่งผลให้อนาคตจักรวาลดีซีเริ่มสดใส
และแว่วข่าวว่าทางผู้สร้างต้องการผลักดันหนังฮีโร่ฉายเดี่ยวลักษณะเดียวกันตามๆ มา
ซึ่งถ้าดูแลการผลิตกัน ให้ผลงานอีกหลายเรื่องรักษามาตรฐานนี้ได้ คงไม่มีปัญหา
เพียงแต่เมื่อถึงจุดนึงหนังรวมฮีโร่คือสิ่งที่ต้องมา
ฉะนั้นหวังว่าจะไม่มัวทำหนังเดี่ยวเพลิน จนลืมปูทางวางแผนให้เกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ในภายภาคหน้า
--สรุป-- 'Shazam!' นำเสนอชีวิตของฮีโร่เด็กในร่างผู้ใหญ่อย่างเหมาะสม โดยแฝงความมืดมนลงไป, สื่อสาระสำคัญของเรื่องราวที่เกี่ยวกับครอบครัวให้คนดูรับรู้ได้สำเร็จ ชวนให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจ และใช้สถานการณ์ตามท้องเรื่องสร้างความตลกขบขันแบบเป็นธรรมชาติ
แถมยังนำเสนอสิ่งต่างๆ ไว้แบบพอดีไม่มากไป แม้เป็นส่วนหนึ่งในจักรวาลหนังแสนกว้างใหญ่และซับซ้อนของเหล่าฮีโร่ใต้ร่มใบค่ายดีซี
COMMENTS