ภาพยนตร์จากแฟรนไชส์โลกแห่งจอมเวทย์ (Wizarding World) ภาค Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald กระแสคำวิจารณ์ไม่สู้ดี (ณ ปัจจุบัน คะ...
ภาพยนตร์จากแฟรนไชส์โลกแห่งจอมเวทย์ (Wizarding World) ภาค Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald กระแสคำวิจารณ์ไม่สู้ดี
(ณ ปัจจุบัน คะแนนในเว็บไซต์รวมบทวิจารณ์อย่าง Rottentomatoes ต่ำสุดในแฟรนไชส์ Wizarding World ทั้งฝั่งนักวิจารณ์และคนดูทั่วไป)
แต่แทนที่จะบอกว่าหนังแย่ สำหรับผมการบอกว่ามัน 'ดูยาก' จะแม่นยำกว่า
เพราะคุณจำเป็นต้องรู้จักโลกแห่งจอมเวทย์เป็นทุนเดิม (แม้ไม่ต้องรู้ลึกระดับสาวก)
และตัวละครราวหนึ่งโหลในภาพยนตร์ ถ้าไม่ใช่มีเส้นเรื่องของตัวเอง ก็มีประเด็นส่วนตัวที่หนังแบ่งเวลาไปพูดถึง
สิ่งที่ได้ยินตอนคนเดินออกจากโรงหนัง คือ คำบ่นเรื่องหนังเสียเวลาเล่าอะไรไม่รู้อยู่นานสองนานเสียจนน่าเบื่อ
ซึ่งผมรู้สึกตรงข้าม หนังเรื่องนี้ใช้เวลาบอกเล่าหลากหลายประเด็นแบบ [คุ้มค่าและมีความหมาย]
ผมยอมรับถึงความยากในการติดตามเนื้อหา
เส้นเรื่อง+ตัวละครมากมายสร้างความซับซ้อนยุ่งเหยิง ชวนสับสนนัก
หากสมาธิหลุดตรงส่วนสำคัญก็พลอยพลาดประเด็นสำคัญตามได้ง่าย
แต่เกือบทุกเรื่องที่หนังภาคนี้เล่าล้วนมีเป้าประสงค์ (หรือไม่ก็ปูทางสู่ภาคอื่นๆ ในอนาคต)
เลยได้แรงบันดาลใจเขียนบทอธิบาย ชี้แจงตามความเห็นของตัวเองไว้ โดยใส่การวิเคราะห์ส่วนตัวร่วมด้วย
(เพราะบางอย่างไม่ถูกบอกเล่าแบบตรงไปตรงมา หรือหนังภาคหลังจากนี้ออกฉายจึงจะชัดแจ้ง)
ผู้ชี้นำให้เกิดการปฏิวัติโลกเวทมนตร์ เพื่อให้เหล่าพ่อมดแม่มดได้ใช้ชีวิตอิสระ, เปิดเผยตัวตน และปกครองพวกคนธรรมดาไร้พลังเวทย์
แลดูมีอุดมการณ์สูงส่ง, แต่งกายดี, มีสเน่ห์ดึงดูดใจ และรู้จักพูดจาหว่านล้อมชักจูงคน
ทว่า บทภาพยนตร์แสดงว่านั่นเป็นเพียงการ 'เสแสร้ง' กลบเกลื่อนความชั่วร้าย+เอาแต่ใจของเขาไว้ ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องด้วยซ้ำ
ที่ผมอยากกล่าวถึง ไม่ใช่ตอนทำร้ายหรือฆ่าแกงคนในขบวนคุ้มกันนักโทษ (เพราะอ้างเหตุผล ทำร้ายฝ่ายตรงข้ามผู้ขวางเขามิให้ทำตามอุดมการณ์ได้)
แต่เป็นฉากดูไม่สำคัญ คือทิ้งสัตว์ตัวจ้อยที่ออดอ้อนขอความรักมากเกินไปแบบไม่ไยดี
ตรงนี้เป็นการบอกเราว่า หากใครเซ้าซี้อะไรมากเข้า กรินเดลวัลด์ก็รำคาญ, หมดความสนใจ และคิดปลิดชีวิตอีกฝ่ายเอาง่ายๆ
คือเหตุผลว่าทำไมท้ายเรื่องเขาฆ่าลูกน้องคนหนึ่งด้วยเพลิงมรณาสีฟ้าทิ้ง ทั้งที่แค่เซ้าซี้ถามเรื่องครีเดนซ์ก่อนหน้านั้น
ไหนจะการปล่อยลูกน้องสังหารเด็กเล็กๆ ทิ้งด้วยเวทย์แสงเขียว
หรือบ่นแบบคนอารมณ์เสียว่า "ฉันเกลียดปารีส" แม้แผนเรียกชุมนุมพ่อมดแม่มด เพื่อจุดประกายการปฏิวัติเพิ่งประสบผลสำเร็จ
กรินเดลวัลด์ดันเผยธาตุแท้, ทอดทิ้งครีเดนซ์ตอนคิดว่าหนุ่มน้อยไร้ประโยชน์เมื่อคราว Fantastic Beasts ภาคแรก
ภาคนี้ครีเดนซ์จึงไม่เชื่อถือกรินเดลวัลด์ และพยายามสืบหาความจริงเรื่องชาติกำเนิดของตนด้วยกำลังของตัวเอง
แต่ครีเดนซ์ไม่มีทางสมหวังด้วยการตามเรื่องเองแน่ๆ เพราะโดนกรินเดลวัลด์วางแผนดักทางไว้หมด ดังนี้
- กรินเดลวัลด์รู้ว่ายังไงก็ต้องเริ่มจากตามหาผู้น่าจะเป็นมารดาซึ่งส่งเขาสู่สถานเลี้ยงเด็ก จึงเปิดช่องให้ครีเดนซ์ไปเจอพี่เลี้ยงลูกครึ่งเอล์ฟ
- สั่งมือปราบกระทรวงเวทมนตร์ให้คอยจังหวะ [สังหารพี่เลี้ยงต่อหน้าครีเดนซ์] เพื่อให้ครีเดนซ์รู้สึกหดหู่สิ้นหวัง
- พอกรินเดลวัลด์ไปพบหน้า และบอกว่าเขากุมคำตอบไว้+ล่อลวงด้วยการนัดเจอที่สุสาน
ครีเดนซ์ย่อมตอบรับ
- ครีเดนซ์เจอยูซุฟ (จอมเวทย์ผิวสี) กับลีตา เลสแตรงจ์ ที่สุสาน แต่ก็พบทางตัน หาทางสืบอะไรต่อไม่ได้
- ณ จุดนี้ครีเดนซ์สิ้นหวังของจริง ฉะนั้นถึงความเชื่อใจไม่หวนคืนมา แต่ยังไงก็ต้องยอมกลับไปซบไหล่กรินเดลวัลด์แลกคำตอบ หาความหวัง
ทายาทสายเลือดต้องสาป อนาคตไม่พ้นติดคาสภาพงู
แลดูมีบทบาทเพียงตำแหน่งคนรักของครีเดนซ์ ที่อารมณ์โดดเดี่ยวไร้ครอบครัวดึงดูดทั้งคู่เข้าหากัน
ไม่ได้มีเส้นเรื่องของตัวเอง แต่อนาคตบทสำคัญชัวร์
เพราะตอนท้ายเธอไม่เข้าสังกัดฝ่ายกรินเดลวัลด์พร้อมตัวละครชูโรงแบบครีเดนซ์
เล่นประเด็นดราม่าทีหลังง่าย ไม่คิดว่าใส่เธอมาเอาใจแฟนคลับหนังชุดนี้เฉยๆ หรอก
เรื่องสัตย์สาบานห้ามมิให้เขาต่อสู้กับกรินเดลวัลด์ถูกเฉลยช่วงท้ายสุด
แต่ไม่ใช่เรื่องเดายาก เพราะหนังแบ่งเวลาบอกเล่าความสัมพันธ์แน่นแฟ้นเมื่อกาลเก่าของพวกเขาเป็นระยะ
ผ่านปากคำดัมเบิลดอร์เอง, ฉากส่องกระจกเงาเห็นความปรารถนา และเตือนความจำเกี่ยวกับเวทมนตร์ประเภทเดียวกันแบบ 'ปฏิญญาไม่คืนคำ' ผ่านตัวละครยูซุฟ เพื่อบอกใบ้เรื่องดังกล่าว
แม้นมิสามารถลงมือเอง แต่ดัมเบิลดอร์ตอบรับสถานการณ์โดยผลักดันนิวท์ไปปารีส และเตรียมที่หลบซ่อน+ตัวช่วยอย่าง 'นิโคลัส แฟลมเมล' ไว้ให้
ดัมเบิลดอร์คงหวังแค่ให้นิวท์รับมือสถานการณ์เลวร้ายไปตามเรื่องตามราว แต่ผลลัพธ์กลับดีเกินคาด
เพราะนิวท์ขโมยสัญญาเลือดจากกรินเดลวัลด์มาได้ (ดัมเบิลดอร์ทำท่าประหลาดใจว่าไปเอามาได้ยังไงอยู่)
คงมีหลายคนคิดว่าปู่คนนี้โดนยัดบทเข้าเรื่องเอาใจแฟนคลับ เพราะแค่ออกมาทักทายเจคอบ กับช่วยรับมือเพลิงมรณาสีฟ้า
แต่ความจริงนิโคลัสเหมาะเจาะต่อการสวมบทตัวละครสมทบ ณ จุดนี้ที่สุด
เขาเหมาะยังไงน่ะหรือ ? คำตอบอยู่ที่ความห่างชั้นด้านพลังของกรินเดลวัลด์กับพ่อมดแม่มดคนอื่นๆ
อัคคีสีฟ้าไล่ต้อนกลุ่มตัวละครหลักหนักจนแทบเอาชีวิตไม่รอด และลุกลามต่อไม่หยุดขนาดอาจเผาเมืองปารีสพินาศสิ้น
ให้พวกตัวละครหลักหยุดกันเองทั้งที่เพิ่งล้มลุกคลุกคลานกัน มันไม่สมเหตุสมผลสักนิด
พวกเขาต้องการคนระดับจอมเวทย์ทรงพลัง ไม่ก็ประสบการณ์สูงเข้าช่วยเหลือ
แต่ถ้ามีคนระดับนั้นพร้อมสู้อยู่ควรมาพร้อมกัน จะได้ไม่คับขันแต่แรก
ดังนั้นนิโคลัสผู้ชราภาพย่อมเหมาะสุด เพราะ
- รู้จักดัมเบิลดอร์ใส่บทคนให้ที่หลบซ่อนได้
- อย่างน้อยก็อายุเยอะการันตีเรื่องประสบการณ์
- และชราภาพไม่พร้อมสู้ ทว่าพร้อมให้การช่วยเหลือ
พ่อมดตระกูลเลือดบริสุทธิ์ ที่มารดาเคยโดนพ่อลีตาใช้เวทมนตร์ลักตัว จนครอบครัวเขาต้องทุกข์ระทม
แต่เจ้าบ้านตระกูลเลสแตรงจ์หาได้รักลูกสาวไม่ และมอบความรักให้แก่เพียงบุตรชายชื่อ 'คอร์วุส' เท่านั้น
การจะล้างแค้นให้สาสมจึงมีเพียงทางเดียว คือสังหาร 'คอร์วุส' ทิ้ง
ทว่าพ่อลีตาใช้พี่เลี้ยงลูกครึ่งเอล์ฟพาหนี
ทำให้มิอาจแกะรอยตามหาคอร์วุสเจอมาเป็นเวลายาวนาน
จนกระทั่งทราบว่าครีเดนซ์อาจเป็นคอร์วุสผู้หายสาบสูญ จึงเริ่มการตามล่าหวังชำระแค้น
เหมือนยูซุฟมีความสำคัญ แต่พอใคร่ครวญดู เขาไม่มีบทสำคัญอื่นใดอีก นอกจากไว้เล่นพล็อตสับขาหลอกที่น่าจะตัดออกจากหนังได้
(เช่น เหลือแค่ฉากครีเดนซ์ถามลีตาว่าคุณพี่ผมเปล่า และลีตาตอบว่าเคยสับตัวเด็ก นายเป็นใครไม่รู้ ไม่ใช่น้องฉัน)
จึงมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะมีบทบาทสำคัญในอนาคต เช่น ชักจูงตระกูลจอมเวทย์เลือดบริสุทธิ์อื่นๆ ให้ต่อต้านกรินเดลวัลด์
ไม่รับงานดัมเบิลดอร์เพราะไม่อยากเลือกข้าง แต่พอรู้ตัวว่าความสัมพันธ์กับสาวที่ถูกชะตาแบบทีนากำลังเข้าขั้นวิกฤติ ก็บึ่งไปปารีสพร้อมเจคอบทันที
ภาคนี้ค่อนข้างเนื้อหอม เพราะมีสาวชอบพอเขาถึง 3 คน (บันตี้/ผู้ช่วยเลี้ยงสัตว์ที่อยากใช้เวลากับเขานานๆ, ทีนา และลีตา) แต่สถานการณ์โดยรวมก็ทำให้เห็นว่าปัจจุบันเขาแคร์ทีนามากสุด
และแนวโน้มความสัมพันธ์ในอนาคตถือว่าดี เนื่องจากทีนาเข้าใจความคลั่งไคล้สัตว์วิเศษของนิวท์ด้วย (ตาสวยเหมือนซาลาแมนเดอร์ = คำชม)
ถัดจากประเด็นรักๆ ใคร่ๆ ก็ประเด็นสำคัญสำหรับนิวท์อย่างการ 'เลือกข้าง' ท่ามกลางความขัดแย้ง
อันผิดปกติวิสัยสำหรับเขา เพราะนิวท์เป็นพวกรักสงบ ไม่เกลียดชังแม้กระทั่งสิ่งชั่วร้าย
แรงผลักดันอันทำให้เขาตัดใจเลือกข้างย่อมมิได้เกิดจากเห็นกรินเดลวัลด์ = ภัยร้าย
เขาเลือกข้างเพราะต้องการอยู่ฝ่ายเดียวกับคนในครอบครัวอย่าง 'ธีซีอุส' และเพราะเห็นแก่การเสียสละของลีตาตอนท้ายเรื่อง
ความสัมพันธ์กับนิวท์ระหองระแหงหนักด้วยเรื่องเข้าใจผิด และเกิดอาการพ่อแง่แม่งอนระหว่างคนทั้งสอง ที่ต้องผจญภัยร่วมกันไปพร้อมกับฟื้นฟูความสัมพันธ์ตามสไตล์คนรักผิดใจกัน
โดยรวมบทเธอไม่ค่อยส่งผลอะไรต่อตัวละครอื่นๆ นอกจากนิวท์เท่าไหร่
ไม่มีดราม่ารักสามเส้าของเธอ, นิวท์, ลีตาด้วยซ้ำ
และถึงมันอาจดูขัดๆ หน่อย แต่ตอนท้ายให้ตัวละครใหม่แบบยูซุฟ ช่วยชีวิตเจคอบผู้ไร้เวทย์จากอัคคีสีฟ้าแทนได้
ทว่าขาดเธอก็เท่ากับขาดนางเอกไป หนังคงไม่สนุก
เธอมีเส้นเรื่องของตัวเองชัดเจน เพราะโดนปูบทมาให้ย้ายข้าง
เริ่มตั้งแต่ความสัมพันธ์กับเจคอบมีปัญหา เนื่องจากกฎห้ามแต่งงานกับผู้ไร้เวทย์ในสังคมผู้วิเศษอเมริกา
หลังทะเลาะกันได้ที่ก็แยกตัวไปหาพี่สาว ณ ปารีส แต่ไม่ยักเจอ
ซึ่งตรงนี้ส่งผลกระทบใหญ่ตามมา เพราะเธอเหลือตัวคนเดียวช่วงจิตใจหวั่นไหว
พอเจอกรินเดลวัลด์ล่อลวง หว่านล้อมเรื่องโลกเสรีที่แต่งงานกับผู้ไร้เวทย์ได้เข้า ก็ไม่พ้นตกหลุมพรางเอาง่ายๆ
ตามความเห็นส่วนตัว ควีนีคงถูกสร้างมาให้เป็นตัวละครฝ่ายกรินเดลวัลด์ตั้งแต่ต้น (ไม่ว่าชั่วคราวหรือถาวร)
เนื่องจากความสามารถอ่านจิต, อ่านความคิดผู้อื่นได้จะเฉิดฉายเปล่งประกายสุดตอนใช้โดยไม่เกรงใจใคร (อยู่ฝ่ายผู้ร้าย)
แถมมีประโยชน์มากๆ ต่อกรินเดลวัลด์ผู้สูญเสียความเชื่อใจจากครีเดนซ์
เหมือนนากินี คือไม่มีเส้นเรื่องตัวเอง แค่ติดสอยห้อยตามนิวท์ผจญภัย
แต่อนาคตบทสำคัญแบบนอนมา เพราะแฟนหันไปเข้าข้างกรินเดลวัลด์ สร้างดราม่ากับควีนี/ตัวละครสำคัญง่ายมาก
มีรายละเอียดปลีกย่อยที่อยากใส่ไว้หน่อย คือบางคนคงลืมแล้วว่าเขาเป็นทหารผ่านศึก
ตอนงานชุมนุมในสุสานจึงพึมพำหลังเห็นภาพสงครามว่า "ไม่เอาสงครามนะ"
และตอนเยือนฮอกวอตส์พร้อมผองเพื่อนเป็นครั้งแรกก็มัวมองทางอื่น ไม่แสดงอาการอึ้งทึ่งเมื่อเห็นโรงเรียนผู้ใช้เวทย์ เพราะดันคิดแต่เรื่องควีนีในหัวอยู่
พี่ชายนักกอดของนิวท์, บทบาทมือปราบมารทำให้มีความหมายต่อเนื้อเรื่องโดยปริยาย
และยังคอยผลักดันให้นิวท์เลือกข้าง ยอมเป็นปฏิปักษ์กับกรินเดลวัลด์
ตอนแรกที่เห็นเขาโดนทีนาเล่นงานแล้วนิวท์ดีใจในตัวอย่างหนัง นึกว่าความสัมพันธ์พี่น้องมีปัญหา
แต่ความจริงตรงข้าม, ทั้งคู่รักกันดี ธีซีอุสดูใส่ใจน้องชาย และนิวท์ก็ดูชื่นชมพี่ชาย
อาการดีใจตอนธีซีอุสพลาด น่าจะมาจากความรู้สึกอยากเห็นพี่ชายมาดเท่เสียท่าซะบ้างมากกว่า
ไม่ว่าด้วยความรู้สึกผิดบาปที่เคยกระทำการอันส่งผลให้น้องชายตาย หรือชื่อเสียงด้านร้ายของวงศ์ตระกูล
ลีตาก็ดูจะคิดว่าตนเป็นคนเลวร้าย+สังคมชิงชังเสมอ
(ในเรื่องมีฉากหล่อนกล่าวทำนองว่าดัมเบิลดอร์เกลียดเธอเหมือนคนอื่นๆ)
และเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอไม่สามารถตกลงปลงใจรับรักนิวท์ได้
คงมีคนแย้งว่าเธอรักธีซีอุสและกำลังจะแต่งงานกับเขาไม่ใช่เหรอ ?
ดูจากฉากย้อนอดีตตอนเรียนฮอกวอตส์ ลีตาอาจรักนิวท์ แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่หรอก
จุดที่ทำให้ผมตีความว่าลีตารักนิวท์ คือตอนเธอสละชีวิต ทั้งมุมกล้องและสายตาลีตาเล็งไปสู่ใบหน้านิวท์ ก่อนมองธีซีอุส แล้วบอกว่า "ฉันรักเธอ"
มันสื่อเป็นการบอกรักคู่หมั้นลาตายได้ แต่ก็สื่อเป็นการสารภาพรักนิวท์ส่งท้ายได้เช่นกัน
เอาละ สมมติลีตายังรักนิวท์เสมอมาจริง เธอจะแต่งงานกับธีซีอุสทำไม ?
ก่อนหน้านั้นไม่นาน ลีตาสวนกลับนิวท์ที่ปลอบเธอเรื่องทำน้องชายตายว่านิวท์ "ไม่เคยเกลียดปีศาจแม้แต่ตัวเดียว"
นั่นคือ ลีตามองตัวเอง = ปีศาจ
และการที่นิวท์เป็นคนดีขนาดนั้น คงทำให้เธอรู้สึกไม่คู่ควรกับเขาอย่างแรง
แต่เธอก็ตัดใจไปจากชีวิตเขาไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นทางออกคือ 'แต่งงานกับธีซีอุส'
วิธีนี้ลีตาได้เกี่ยวดองเป็นครอบครัวเดียวกับนิวท์ แถมทำให้นิวท์ตัดใจจากเธอโดยสมบูรณ์ (แม้เธอยังคอยป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆ กาย) ได้ด้วย
แลดูเป็นหญิงร้ายเล่นตลกกับหัวใจผู้อื่น แต่โดยพื้นฐานตัวละคร เธอไม่เคยมองตัวเอง = คนดี
และหากการตีความลักษณะนี้ถูกต้องจริง ใช่ว่าเธอไม่รักธีซีอุสเลยสักหน่อย (แค่รักคนละแบบกับนิวท์)
คำถามที่ตามมาสำหรับผมหนีไม่พ้น
ปูบทใส่อะไรยุ่งยากแบบนี้มาในหนังที่พล็อตเรื่องสับสนวุ่นวายอยู่แล้วทำไม ?
คำตอบน่าจะเป็นเพราะเธอโดนปูทางไว้ให้สละชีพช่วยนิวท์ และการกระทำนั้นเป็นเหตุผลสำคัญสุดที่ทำให้เขายอมเลือกข้าง
ประกอบกับการเอาคนรักเก่าสมัยวัยละอ่อนที่เคยกุ๊กกิ๊กกันแบบธรรมดาๆ มาตายแทนพระเอก ไม่มีทางสร้างแรงกระทบต่อจิตใจคนดูได้แบบนี้แน่
ควรใช้ตัวละครซับซ้อน มีภูมิหลังลักษณะนี้แหละ
แถมคนเขียนบท (เจ.เค.โรลิ่ง) ยังถือโอกาสใช้ตัวละครให้คุ้ม เอาไปรับบทคนที่เกี่ยวพันกับชาติกำเนิดครีเดนซ์อีก
[1] พี่เลี้ยงลูกครึ่งเอล์ฟไม่ได้ถูกใส่มาเพิ่มองค์ประกอบหนังให้เยอะขึ้นเล่นๆ
ยูซุฟมาเจอครีเดนซ์เอาป่านนี้เพราะแกะรอยตามเวทมนตร์เฉพาะตัวของหล่อนไม่ได้
บทตรงนี้ยังไงก็ต้องใช้ตัวละครครึ่งเอล์ฟ (หรือปั้นอะไรใหม่มา)
เพราะเวทมนตร์เอล์ฟไม่เหมือนของพวกพ่อมดแม่มดจริงอยู่ แต่เผ่าเอล์ฟมีสถานะต่ำต้อย
ตระกูลเลือดบริสุทธิ์หัวแข็ง ไม่ยอมไว้ใจให้เลี้ยงทายาทคนสำคัญแน่
และถ้าใช้แม่มดปกติรับบทพี่เลี้ยง เผลอๆ ยูซุฟตามรอยเจอตัวก่อนไปจมน้ำตายด้วยซ้ำ
[2] ศาสตราจารย์มิเนอร์วา มักกอนนากัลโดนคนเขียนเปลี่ยนประวัติ เพราะในนิยายชุดแฮรี่ พอตเตอร์เล่ม 5 เธอบอกว่าสอนอยู่ฮอกวอตส์ราว 39 ปี ซึ่งไม่ว่านับย้อนดูยังไง ก็ห่างจากยุคสมัยในหนังภาคนี้มาก
[3] ครีเดนซ์อาจเป็นเพียงญาติห่างๆ อัลบัส ดัมเบิลดอร์
เพราะกรินเดลวัลด์อาจโกหกเรื่องอัลบัส = พี่ชายครีเดนซ์ รวมถึงเรื่องชื่อ 'ออเรเลียส' ด้วย
(ยังไงก็แล้วแต่ ครีเดนซ์ = คนตระกูลดัมเบิลดอร์ชัวร์ นกฟีนิกซ์คือเครื่องยืนยัน)
[4] เหตุการณ์ในหนังเกิดค.ศ. 1927 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1
แต่ภาพสงครามของผู้ไร้เวทย์ซึ่งถูกเสกขึ้นฉายในงานชุมนุม ณ สุสาน
เป็นภาพ 'สงครามโลกครั้งที่ 2' เพราะมีภาพควันรูปดอกเห็ดของระเบิดนิวเคลียร์
ที่อุตส่าห์ใช้ภาพอนาคตจากการพยากรณ์ คงเพราะกรินเดลวัลด์อยากแสดงให้เห็นว่าหากเหล่าผู้วิเศษไม่ยอมขึ้นปกครองพวกไร้เวทมนตร์แล้วไซร้
เหตุการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่พวกตนเคยประจักษ์กันมาจะต้องเกิดขึ้น
(ณ ปัจจุบัน คะแนนในเว็บไซต์รวมบทวิจารณ์อย่าง Rottentomatoes ต่ำสุดในแฟรนไชส์ Wizarding World ทั้งฝั่งนักวิจารณ์และคนดูทั่วไป)
แต่แทนที่จะบอกว่าหนังแย่ สำหรับผมการบอกว่ามัน 'ดูยาก' จะแม่นยำกว่า
เพราะคุณจำเป็นต้องรู้จักโลกแห่งจอมเวทย์เป็นทุนเดิม (แม้ไม่ต้องรู้ลึกระดับสาวก)
และตัวละครราวหนึ่งโหลในภาพยนตร์ ถ้าไม่ใช่มีเส้นเรื่องของตัวเอง ก็มีประเด็นส่วนตัวที่หนังแบ่งเวลาไปพูดถึง
สิ่งที่ได้ยินตอนคนเดินออกจากโรงหนัง คือ คำบ่นเรื่องหนังเสียเวลาเล่าอะไรไม่รู้อยู่นานสองนานเสียจนน่าเบื่อ
ซึ่งผมรู้สึกตรงข้าม หนังเรื่องนี้ใช้เวลาบอกเล่าหลากหลายประเด็นแบบ [คุ้มค่าและมีความหมาย]
ผมยอมรับถึงความยากในการติดตามเนื้อหา
เส้นเรื่อง+ตัวละครมากมายสร้างความซับซ้อนยุ่งเหยิง ชวนสับสนนัก
หากสมาธิหลุดตรงส่วนสำคัญก็พลอยพลาดประเด็นสำคัญตามได้ง่าย
แต่เกือบทุกเรื่องที่หนังภาคนี้เล่าล้วนมีเป้าประสงค์ (หรือไม่ก็ปูทางสู่ภาคอื่นๆ ในอนาคต)
เลยได้แรงบันดาลใจเขียนบทอธิบาย ชี้แจงตามความเห็นของตัวเองไว้ โดยใส่การวิเคราะห์ส่วนตัวร่วมด้วย
(เพราะบางอย่างไม่ถูกบอกเล่าแบบตรงไปตรงมา หรือหนังภาคหลังจากนี้ออกฉายจึงจะชัดแจ้ง)
กรินเดลวัลด์
ผู้ชี้นำให้เกิดการปฏิวัติโลกเวทมนตร์ เพื่อให้เหล่าพ่อมดแม่มดได้ใช้ชีวิตอิสระ, เปิดเผยตัวตน และปกครองพวกคนธรรมดาไร้พลังเวทย์
แลดูมีอุดมการณ์สูงส่ง, แต่งกายดี, มีสเน่ห์ดึงดูดใจ และรู้จักพูดจาหว่านล้อมชักจูงคน
ทว่า บทภาพยนตร์แสดงว่านั่นเป็นเพียงการ 'เสแสร้ง' กลบเกลื่อนความชั่วร้าย+เอาแต่ใจของเขาไว้ ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องด้วยซ้ำ
ที่ผมอยากกล่าวถึง ไม่ใช่ตอนทำร้ายหรือฆ่าแกงคนในขบวนคุ้มกันนักโทษ (เพราะอ้างเหตุผล ทำร้ายฝ่ายตรงข้ามผู้ขวางเขามิให้ทำตามอุดมการณ์ได้)
แต่เป็นฉากดูไม่สำคัญ คือทิ้งสัตว์ตัวจ้อยที่ออดอ้อนขอความรักมากเกินไปแบบไม่ไยดี
ตรงนี้เป็นการบอกเราว่า หากใครเซ้าซี้อะไรมากเข้า กรินเดลวัลด์ก็รำคาญ, หมดความสนใจ และคิดปลิดชีวิตอีกฝ่ายเอาง่ายๆ
คือเหตุผลว่าทำไมท้ายเรื่องเขาฆ่าลูกน้องคนหนึ่งด้วยเพลิงมรณาสีฟ้าทิ้ง ทั้งที่แค่เซ้าซี้ถามเรื่องครีเดนซ์ก่อนหน้านั้น
ไหนจะการปล่อยลูกน้องสังหารเด็กเล็กๆ ทิ้งด้วยเวทย์แสงเขียว
หรือบ่นแบบคนอารมณ์เสียว่า "ฉันเกลียดปารีส" แม้แผนเรียกชุมนุมพ่อมดแม่มด เพื่อจุดประกายการปฏิวัติเพิ่งประสบผลสำเร็จ
ครีเดนซ์
กรินเดลวัลด์ดันเผยธาตุแท้, ทอดทิ้งครีเดนซ์ตอนคิดว่าหนุ่มน้อยไร้ประโยชน์เมื่อคราว Fantastic Beasts ภาคแรก
ภาคนี้ครีเดนซ์จึงไม่เชื่อถือกรินเดลวัลด์ และพยายามสืบหาความจริงเรื่องชาติกำเนิดของตนด้วยกำลังของตัวเอง
แต่ครีเดนซ์ไม่มีทางสมหวังด้วยการตามเรื่องเองแน่ๆ เพราะโดนกรินเดลวัลด์วางแผนดักทางไว้หมด ดังนี้
- กรินเดลวัลด์รู้ว่ายังไงก็ต้องเริ่มจากตามหาผู้น่าจะเป็นมารดาซึ่งส่งเขาสู่สถานเลี้ยงเด็ก จึงเปิดช่องให้ครีเดนซ์ไปเจอพี่เลี้ยงลูกครึ่งเอล์ฟ
- สั่งมือปราบกระทรวงเวทมนตร์ให้คอยจังหวะ [สังหารพี่เลี้ยงต่อหน้าครีเดนซ์] เพื่อให้ครีเดนซ์รู้สึกหดหู่สิ้นหวัง
- พอกรินเดลวัลด์ไปพบหน้า และบอกว่าเขากุมคำตอบไว้+ล่อลวงด้วยการนัดเจอที่สุสาน
ครีเดนซ์ย่อมตอบรับ
- ครีเดนซ์เจอยูซุฟ (จอมเวทย์ผิวสี) กับลีตา เลสแตรงจ์ ที่สุสาน แต่ก็พบทางตัน หาทางสืบอะไรต่อไม่ได้
- ณ จุดนี้ครีเดนซ์สิ้นหวังของจริง ฉะนั้นถึงความเชื่อใจไม่หวนคืนมา แต่ยังไงก็ต้องยอมกลับไปซบไหล่กรินเดลวัลด์แลกคำตอบ หาความหวัง
นากินี
ทายาทสายเลือดต้องสาป อนาคตไม่พ้นติดคาสภาพงู
แลดูมีบทบาทเพียงตำแหน่งคนรักของครีเดนซ์ ที่อารมณ์โดดเดี่ยวไร้ครอบครัวดึงดูดทั้งคู่เข้าหากัน
ไม่ได้มีเส้นเรื่องของตัวเอง แต่อนาคตบทสำคัญชัวร์
เพราะตอนท้ายเธอไม่เข้าสังกัดฝ่ายกรินเดลวัลด์พร้อมตัวละครชูโรงแบบครีเดนซ์
เล่นประเด็นดราม่าทีหลังง่าย ไม่คิดว่าใส่เธอมาเอาใจแฟนคลับหนังชุดนี้เฉยๆ หรอก
อัลบัส ดัมเบิลดอร์
เรื่องสัตย์สาบานห้ามมิให้เขาต่อสู้กับกรินเดลวัลด์ถูกเฉลยช่วงท้ายสุด
แต่ไม่ใช่เรื่องเดายาก เพราะหนังแบ่งเวลาบอกเล่าความสัมพันธ์แน่นแฟ้นเมื่อกาลเก่าของพวกเขาเป็นระยะ
ผ่านปากคำดัมเบิลดอร์เอง, ฉากส่องกระจกเงาเห็นความปรารถนา และเตือนความจำเกี่ยวกับเวทมนตร์ประเภทเดียวกันแบบ 'ปฏิญญาไม่คืนคำ' ผ่านตัวละครยูซุฟ เพื่อบอกใบ้เรื่องดังกล่าว
แม้นมิสามารถลงมือเอง แต่ดัมเบิลดอร์ตอบรับสถานการณ์โดยผลักดันนิวท์ไปปารีส และเตรียมที่หลบซ่อน+ตัวช่วยอย่าง 'นิโคลัส แฟลมเมล' ไว้ให้
ดัมเบิลดอร์คงหวังแค่ให้นิวท์รับมือสถานการณ์เลวร้ายไปตามเรื่องตามราว แต่ผลลัพธ์กลับดีเกินคาด
เพราะนิวท์ขโมยสัญญาเลือดจากกรินเดลวัลด์มาได้ (ดัมเบิลดอร์ทำท่าประหลาดใจว่าไปเอามาได้ยังไงอยู่)
นิโคลัส แฟลมเมล
คงมีหลายคนคิดว่าปู่คนนี้โดนยัดบทเข้าเรื่องเอาใจแฟนคลับ เพราะแค่ออกมาทักทายเจคอบ กับช่วยรับมือเพลิงมรณาสีฟ้า
แต่ความจริงนิโคลัสเหมาะเจาะต่อการสวมบทตัวละครสมทบ ณ จุดนี้ที่สุด
เขาเหมาะยังไงน่ะหรือ ? คำตอบอยู่ที่ความห่างชั้นด้านพลังของกรินเดลวัลด์กับพ่อมดแม่มดคนอื่นๆ
อัคคีสีฟ้าไล่ต้อนกลุ่มตัวละครหลักหนักจนแทบเอาชีวิตไม่รอด และลุกลามต่อไม่หยุดขนาดอาจเผาเมืองปารีสพินาศสิ้น
ให้พวกตัวละครหลักหยุดกันเองทั้งที่เพิ่งล้มลุกคลุกคลานกัน มันไม่สมเหตุสมผลสักนิด
พวกเขาต้องการคนระดับจอมเวทย์ทรงพลัง ไม่ก็ประสบการณ์สูงเข้าช่วยเหลือ
แต่ถ้ามีคนระดับนั้นพร้อมสู้อยู่ควรมาพร้อมกัน จะได้ไม่คับขันแต่แรก
ดังนั้นนิโคลัสผู้ชราภาพย่อมเหมาะสุด เพราะ
- รู้จักดัมเบิลดอร์ใส่บทคนให้ที่หลบซ่อนได้
- อย่างน้อยก็อายุเยอะการันตีเรื่องประสบการณ์
- และชราภาพไม่พร้อมสู้ ทว่าพร้อมให้การช่วยเหลือ
ยูซุฟ
พ่อมดตระกูลเลือดบริสุทธิ์ ที่มารดาเคยโดนพ่อลีตาใช้เวทมนตร์ลักตัว จนครอบครัวเขาต้องทุกข์ระทม
แต่เจ้าบ้านตระกูลเลสแตรงจ์หาได้รักลูกสาวไม่ และมอบความรักให้แก่เพียงบุตรชายชื่อ 'คอร์วุส' เท่านั้น
การจะล้างแค้นให้สาสมจึงมีเพียงทางเดียว คือสังหาร 'คอร์วุส' ทิ้ง
ทว่าพ่อลีตาใช้พี่เลี้ยงลูกครึ่งเอล์ฟพาหนี
ทำให้มิอาจแกะรอยตามหาคอร์วุสเจอมาเป็นเวลายาวนาน
จนกระทั่งทราบว่าครีเดนซ์อาจเป็นคอร์วุสผู้หายสาบสูญ จึงเริ่มการตามล่าหวังชำระแค้น
เหมือนยูซุฟมีความสำคัญ แต่พอใคร่ครวญดู เขาไม่มีบทสำคัญอื่นใดอีก นอกจากไว้เล่นพล็อตสับขาหลอกที่น่าจะตัดออกจากหนังได้
(เช่น เหลือแค่ฉากครีเดนซ์ถามลีตาว่าคุณพี่ผมเปล่า และลีตาตอบว่าเคยสับตัวเด็ก นายเป็นใครไม่รู้ ไม่ใช่น้องฉัน)
จึงมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะมีบทบาทสำคัญในอนาคต เช่น ชักจูงตระกูลจอมเวทย์เลือดบริสุทธิ์อื่นๆ ให้ต่อต้านกรินเดลวัลด์
นิวท์
ไม่รับงานดัมเบิลดอร์เพราะไม่อยากเลือกข้าง แต่พอรู้ตัวว่าความสัมพันธ์กับสาวที่ถูกชะตาแบบทีนากำลังเข้าขั้นวิกฤติ ก็บึ่งไปปารีสพร้อมเจคอบทันที
ภาคนี้ค่อนข้างเนื้อหอม เพราะมีสาวชอบพอเขาถึง 3 คน (บันตี้/ผู้ช่วยเลี้ยงสัตว์ที่อยากใช้เวลากับเขานานๆ, ทีนา และลีตา) แต่สถานการณ์โดยรวมก็ทำให้เห็นว่าปัจจุบันเขาแคร์ทีนามากสุด
และแนวโน้มความสัมพันธ์ในอนาคตถือว่าดี เนื่องจากทีนาเข้าใจความคลั่งไคล้สัตว์วิเศษของนิวท์ด้วย (ตาสวยเหมือนซาลาแมนเดอร์ = คำชม)
ถัดจากประเด็นรักๆ ใคร่ๆ ก็ประเด็นสำคัญสำหรับนิวท์อย่างการ 'เลือกข้าง' ท่ามกลางความขัดแย้ง
อันผิดปกติวิสัยสำหรับเขา เพราะนิวท์เป็นพวกรักสงบ ไม่เกลียดชังแม้กระทั่งสิ่งชั่วร้าย
แรงผลักดันอันทำให้เขาตัดใจเลือกข้างย่อมมิได้เกิดจากเห็นกรินเดลวัลด์ = ภัยร้าย
เขาเลือกข้างเพราะต้องการอยู่ฝ่ายเดียวกับคนในครอบครัวอย่าง 'ธีซีอุส' และเพราะเห็นแก่การเสียสละของลีตาตอนท้ายเรื่อง
ทีนา
ความสัมพันธ์กับนิวท์ระหองระแหงหนักด้วยเรื่องเข้าใจผิด และเกิดอาการพ่อแง่แม่งอนระหว่างคนทั้งสอง ที่ต้องผจญภัยร่วมกันไปพร้อมกับฟื้นฟูความสัมพันธ์ตามสไตล์คนรักผิดใจกัน
โดยรวมบทเธอไม่ค่อยส่งผลอะไรต่อตัวละครอื่นๆ นอกจากนิวท์เท่าไหร่
ไม่มีดราม่ารักสามเส้าของเธอ, นิวท์, ลีตาด้วยซ้ำ
และถึงมันอาจดูขัดๆ หน่อย แต่ตอนท้ายให้ตัวละครใหม่แบบยูซุฟ ช่วยชีวิตเจคอบผู้ไร้เวทย์จากอัคคีสีฟ้าแทนได้
ทว่าขาดเธอก็เท่ากับขาดนางเอกไป หนังคงไม่สนุก
ควีนี
เธอมีเส้นเรื่องของตัวเองชัดเจน เพราะโดนปูบทมาให้ย้ายข้าง
เริ่มตั้งแต่ความสัมพันธ์กับเจคอบมีปัญหา เนื่องจากกฎห้ามแต่งงานกับผู้ไร้เวทย์ในสังคมผู้วิเศษอเมริกา
หลังทะเลาะกันได้ที่ก็แยกตัวไปหาพี่สาว ณ ปารีส แต่ไม่ยักเจอ
ซึ่งตรงนี้ส่งผลกระทบใหญ่ตามมา เพราะเธอเหลือตัวคนเดียวช่วงจิตใจหวั่นไหว
พอเจอกรินเดลวัลด์ล่อลวง หว่านล้อมเรื่องโลกเสรีที่แต่งงานกับผู้ไร้เวทย์ได้เข้า ก็ไม่พ้นตกหลุมพรางเอาง่ายๆ
ตามความเห็นส่วนตัว ควีนีคงถูกสร้างมาให้เป็นตัวละครฝ่ายกรินเดลวัลด์ตั้งแต่ต้น (ไม่ว่าชั่วคราวหรือถาวร)
เนื่องจากความสามารถอ่านจิต, อ่านความคิดผู้อื่นได้จะเฉิดฉายเปล่งประกายสุดตอนใช้โดยไม่เกรงใจใคร (อยู่ฝ่ายผู้ร้าย)
แถมมีประโยชน์มากๆ ต่อกรินเดลวัลด์ผู้สูญเสียความเชื่อใจจากครีเดนซ์
เจคอบ
เหมือนนากินี คือไม่มีเส้นเรื่องตัวเอง แค่ติดสอยห้อยตามนิวท์ผจญภัย
แต่อนาคตบทสำคัญแบบนอนมา เพราะแฟนหันไปเข้าข้างกรินเดลวัลด์ สร้างดราม่ากับควีนี/ตัวละครสำคัญง่ายมาก
มีรายละเอียดปลีกย่อยที่อยากใส่ไว้หน่อย คือบางคนคงลืมแล้วว่าเขาเป็นทหารผ่านศึก
ตอนงานชุมนุมในสุสานจึงพึมพำหลังเห็นภาพสงครามว่า "ไม่เอาสงครามนะ"
และตอนเยือนฮอกวอตส์พร้อมผองเพื่อนเป็นครั้งแรกก็มัวมองทางอื่น ไม่แสดงอาการอึ้งทึ่งเมื่อเห็นโรงเรียนผู้ใช้เวทย์ เพราะดันคิดแต่เรื่องควีนีในหัวอยู่
ธีซีอุส
พี่ชายนักกอดของนิวท์, บทบาทมือปราบมารทำให้มีความหมายต่อเนื้อเรื่องโดยปริยาย
และยังคอยผลักดันให้นิวท์เลือกข้าง ยอมเป็นปฏิปักษ์กับกรินเดลวัลด์
ตอนแรกที่เห็นเขาโดนทีนาเล่นงานแล้วนิวท์ดีใจในตัวอย่างหนัง นึกว่าความสัมพันธ์พี่น้องมีปัญหา
แต่ความจริงตรงข้าม, ทั้งคู่รักกันดี ธีซีอุสดูใส่ใจน้องชาย และนิวท์ก็ดูชื่นชมพี่ชาย
อาการดีใจตอนธีซีอุสพลาด น่าจะมาจากความรู้สึกอยากเห็นพี่ชายมาดเท่เสียท่าซะบ้างมากกว่า
ลีตา
ไม่ว่าด้วยความรู้สึกผิดบาปที่เคยกระทำการอันส่งผลให้น้องชายตาย หรือชื่อเสียงด้านร้ายของวงศ์ตระกูล
ลีตาก็ดูจะคิดว่าตนเป็นคนเลวร้าย+สังคมชิงชังเสมอ
(ในเรื่องมีฉากหล่อนกล่าวทำนองว่าดัมเบิลดอร์เกลียดเธอเหมือนคนอื่นๆ)
และเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอไม่สามารถตกลงปลงใจรับรักนิวท์ได้
คงมีคนแย้งว่าเธอรักธีซีอุสและกำลังจะแต่งงานกับเขาไม่ใช่เหรอ ?
ดูจากฉากย้อนอดีตตอนเรียนฮอกวอตส์ ลีตาอาจรักนิวท์ แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่หรอก
จุดที่ทำให้ผมตีความว่าลีตารักนิวท์ คือตอนเธอสละชีวิต ทั้งมุมกล้องและสายตาลีตาเล็งไปสู่ใบหน้านิวท์ ก่อนมองธีซีอุส แล้วบอกว่า "ฉันรักเธอ"
มันสื่อเป็นการบอกรักคู่หมั้นลาตายได้ แต่ก็สื่อเป็นการสารภาพรักนิวท์ส่งท้ายได้เช่นกัน
เอาละ สมมติลีตายังรักนิวท์เสมอมาจริง เธอจะแต่งงานกับธีซีอุสทำไม ?
ก่อนหน้านั้นไม่นาน ลีตาสวนกลับนิวท์ที่ปลอบเธอเรื่องทำน้องชายตายว่านิวท์ "ไม่เคยเกลียดปีศาจแม้แต่ตัวเดียว"
นั่นคือ ลีตามองตัวเอง = ปีศาจ
และการที่นิวท์เป็นคนดีขนาดนั้น คงทำให้เธอรู้สึกไม่คู่ควรกับเขาอย่างแรง
แต่เธอก็ตัดใจไปจากชีวิตเขาไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นทางออกคือ 'แต่งงานกับธีซีอุส'
วิธีนี้ลีตาได้เกี่ยวดองเป็นครอบครัวเดียวกับนิวท์ แถมทำให้นิวท์ตัดใจจากเธอโดยสมบูรณ์ (แม้เธอยังคอยป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆ กาย) ได้ด้วย
แลดูเป็นหญิงร้ายเล่นตลกกับหัวใจผู้อื่น แต่โดยพื้นฐานตัวละคร เธอไม่เคยมองตัวเอง = คนดี
และหากการตีความลักษณะนี้ถูกต้องจริง ใช่ว่าเธอไม่รักธีซีอุสเลยสักหน่อย (แค่รักคนละแบบกับนิวท์)
คำถามที่ตามมาสำหรับผมหนีไม่พ้น
ปูบทใส่อะไรยุ่งยากแบบนี้มาในหนังที่พล็อตเรื่องสับสนวุ่นวายอยู่แล้วทำไม ?
คำตอบน่าจะเป็นเพราะเธอโดนปูทางไว้ให้สละชีพช่วยนิวท์ และการกระทำนั้นเป็นเหตุผลสำคัญสุดที่ทำให้เขายอมเลือกข้าง
ประกอบกับการเอาคนรักเก่าสมัยวัยละอ่อนที่เคยกุ๊กกิ๊กกันแบบธรรมดาๆ มาตายแทนพระเอก ไม่มีทางสร้างแรงกระทบต่อจิตใจคนดูได้แบบนี้แน่
ควรใช้ตัวละครซับซ้อน มีภูมิหลังลักษณะนี้แหละ
แถมคนเขียนบท (เจ.เค.โรลิ่ง) ยังถือโอกาสใช้ตัวละครให้คุ้ม เอาไปรับบทคนที่เกี่ยวพันกับชาติกำเนิดครีเดนซ์อีก
เก็บตกส่งท้าย
[1] พี่เลี้ยงลูกครึ่งเอล์ฟไม่ได้ถูกใส่มาเพิ่มองค์ประกอบหนังให้เยอะขึ้นเล่นๆ
ยูซุฟมาเจอครีเดนซ์เอาป่านนี้เพราะแกะรอยตามเวทมนตร์เฉพาะตัวของหล่อนไม่ได้
บทตรงนี้ยังไงก็ต้องใช้ตัวละครครึ่งเอล์ฟ (หรือปั้นอะไรใหม่มา)
เพราะเวทมนตร์เอล์ฟไม่เหมือนของพวกพ่อมดแม่มดจริงอยู่ แต่เผ่าเอล์ฟมีสถานะต่ำต้อย
ตระกูลเลือดบริสุทธิ์หัวแข็ง ไม่ยอมไว้ใจให้เลี้ยงทายาทคนสำคัญแน่
และถ้าใช้แม่มดปกติรับบทพี่เลี้ยง เผลอๆ ยูซุฟตามรอยเจอตัวก่อนไปจมน้ำตายด้วยซ้ำ
[2] ศาสตราจารย์มิเนอร์วา มักกอนนากัลโดนคนเขียนเปลี่ยนประวัติ เพราะในนิยายชุดแฮรี่ พอตเตอร์เล่ม 5 เธอบอกว่าสอนอยู่ฮอกวอตส์ราว 39 ปี ซึ่งไม่ว่านับย้อนดูยังไง ก็ห่างจากยุคสมัยในหนังภาคนี้มาก
[3] ครีเดนซ์อาจเป็นเพียงญาติห่างๆ อัลบัส ดัมเบิลดอร์
เพราะกรินเดลวัลด์อาจโกหกเรื่องอัลบัส = พี่ชายครีเดนซ์ รวมถึงเรื่องชื่อ 'ออเรเลียส' ด้วย
(ยังไงก็แล้วแต่ ครีเดนซ์ = คนตระกูลดัมเบิลดอร์ชัวร์ นกฟีนิกซ์คือเครื่องยืนยัน)
[4] เหตุการณ์ในหนังเกิดค.ศ. 1927 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1
แต่ภาพสงครามของผู้ไร้เวทย์ซึ่งถูกเสกขึ้นฉายในงานชุมนุม ณ สุสาน
เป็นภาพ 'สงครามโลกครั้งที่ 2' เพราะมีภาพควันรูปดอกเห็ดของระเบิดนิวเคลียร์
ที่อุตส่าห์ใช้ภาพอนาคตจากการพยากรณ์ คงเพราะกรินเดลวัลด์อยากแสดงให้เห็นว่าหากเหล่าผู้วิเศษไม่ยอมขึ้นปกครองพวกไร้เวทมนตร์แล้วไซร้
เหตุการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่พวกตนเคยประจักษ์กันมาจะต้องเกิดขึ้น
COMMENTS