สารภาพตามตรง ตอนแรกมองหนังเรื่องนี้เป็นแค่หนังรวมไข่อีสเตอร์ เน้นอัดเทคนิคพิเศษเจ๋งๆ เยอะๆ ที่มาพร้อมตัวละครหลักวัยรุ่น กับเนื้อเรื่องสานฝัน...
สารภาพตามตรง ตอนแรกมองหนังเรื่องนี้เป็นแค่หนังรวมไข่อีสเตอร์ เน้นอัดเทคนิคพิเศษเจ๋งๆ เยอะๆ ที่มาพร้อมตัวละครหลักวัยรุ่น กับเนื้อเรื่องสานฝันสร้างแรงบันดาลใจ ประมาณคนพื้นเพธรรมดาบ้านๆ ทั่วไปก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หรือประสบความสำเร็จสูงได้ ตามขนบธรรมเนียม, ความคิดของสังคมชาวอเมริกาเขา
ปรากฏว่าหนังมันเป็นเหมือนที่คิดไว้ทุกอย่าง สรุปเนื้อเรื่องแบบสั้นๆ ง่ายๆ ได้เลยด้วยซ้ำว่า "พระเอกยอดนักเล่นเกม-ผู้ชอบฉายเดี่ยว พยายามไขปริศนาของผู้สร้างเกมจนสำเร็จ และได้เป็นเจ้าของมัน แต่ระหว่างนั้นเขาพบทั้งมิตรภาพ, ความรัก และเรียนรู้ความสำคัญของโลกแห่งความเป็นจริง จนชีวิตประสบความสำเร็จ มีความสุขโสภาสถาพรยืนยาวหลังจากนั้น"
แต่มันไม่ใช่แค่หนังขายฝันตามสูตรดาดๆ ธรรมดา มันเป็นมากกว่านั้น เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้ผู้กำกับระดับตำนาน "สตีเว่น สปีลเบิร์ก" เขา ที่บอกเล่าเรื่องราวอย่างมีจังหวะจะโคน สร้างอารมณ์ร่วมไปกับฉากต่างๆ, บรรยากาศรอบตัว, สร้างจังหวะลุ้น สลับกับสอดแทรกมุกตลกได้ลงตัวตลอดเรื่อง
ผิดกับผู้กำกับหนังฟอร์มใหญ่อัดฉากแอ็คชั่น, อัดฉากเทคนิคพิเศษลงไปหนักๆ หลายคน ที่มักจะทำหนังเป๋ไปเป๋มา ดูแล้วรู้สึกถึงความมันส์ลูกเดียว หรือแค่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจไปกับเทคนิคพิเศษต่างๆ แต่ไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์, ความคิด, ความรู้สึกของตัวละคร หรือสัมผัส "จิตวิญญาณ" ของภาพยนตร์ได้
ถ้าแปซิฟิค ริมภาคแรกสื่อจิตวิญญาณหุ่นเหล็กยักษ์ออกมาอย่างเปี่ยมล้น 'เรดดี้ เพลเยอร์ วัน' ก็สื่อจิตวิญญาณป๊อปคัลเจอร์ออกมาอย่างเลอเลิศไม่แพ้กัน จากเดิมคิดว่าคงไม่อินอะไรกับวัฒนธรรมตะวันตกยุคก่อนนักหนา ทว่าสปีลเบิร์กดึง 'หัวใจ' ของมันมาตีแผ่ต่อหน้าผู้ชมสำเร็จ
คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนรุ่นเก่า เคยผ่านหูผ่านตาบรรดาไข่อีสเตอร์กว่า 100 รายการ เพื่อสนุกสนานกับเรดดี้ เพลเยอร์ วัน เพราะหนังบอกเล่าทุกสิ่งอันซึ่งจำเป็นต่อการรับรู้, รับชม, เข้าใจเรื่องราวไว้เพียบพร้อมแบบเหมาะสม ไม่มากเกินไป, ไม่น้อยเกินไป แต่สิ่งจำเป็นคือ 'สมาธิ' ในการรับชม เพื่อเก็บข้อมูล+รายละเอียดให้ครบถ้วนกระบวนความต่างหาก
และไม่ต้องมีพื้นฐานวัฒนธรรมตะวันตกมากมาย แค่ตั้งใจดูหนังสักหน่อย คุณจะพบการเล่าเรื่อง, สร้างอารมณ์ร่วม และจิตวิญญาณป๊อปคัลเจอร์ ในหนังสุดวิจิตรตระการตาเรื่องนี้โดยครบถ้วน
เรียกว่าสมแล้วจริงๆ กับฉายาพ่อมดแห่งฮอลลีวูดของผู้กำกับรุ่นดึก ถ้าไม่ใช่สปีลเบิร์กทำ หนังเรื่องนี้คงไม่ออกมาดีงาม ตามด้วยประสบความสำเร็จทั้งรายได้+คำวิจารณ์เช่นนี้แน่
อ้อ ได้ข่าวคนเขียนนิยายต้นฉบับ '"เออเนส ไคลน์" เริ่มเขียนนิยายภาคสองแล้วอยู่ แต่ไม่รู้เสร็จเมื่อไหร่ นิยายบางเล่มกว่าจะเขียนเสร็จ นานหลายปีดีดักเอาเรื่อง แถมหนังเรื่องนึงเค้าใช้เวลาสร้างประมาณ 2 ปีอีก กะคร่าวๆ เร็วสุดปาไป 5 ปีโน่นกว่าจะได้ดูภาคต่อ เวลาผ่านนานกระแสตกเผลอๆ ไม่มีโอกาสสร้างด้วยซ้ำ ฉะนั้นลืมๆ เรื่องหนังภาคต่อเสียเถอะ คิดว่ามีให้ดูภาคเดียวจบนี่แหละ :D
ปรากฏว่าหนังมันเป็นเหมือนที่คิดไว้ทุกอย่าง สรุปเนื้อเรื่องแบบสั้นๆ ง่ายๆ ได้เลยด้วยซ้ำว่า "พระเอกยอดนักเล่นเกม-ผู้ชอบฉายเดี่ยว พยายามไขปริศนาของผู้สร้างเกมจนสำเร็จ และได้เป็นเจ้าของมัน แต่ระหว่างนั้นเขาพบทั้งมิตรภาพ, ความรัก และเรียนรู้ความสำคัญของโลกแห่งความเป็นจริง จนชีวิตประสบความสำเร็จ มีความสุขโสภาสถาพรยืนยาวหลังจากนั้น"
แต่มันไม่ใช่แค่หนังขายฝันตามสูตรดาดๆ ธรรมดา มันเป็นมากกว่านั้น เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้ผู้กำกับระดับตำนาน "สตีเว่น สปีลเบิร์ก" เขา ที่บอกเล่าเรื่องราวอย่างมีจังหวะจะโคน สร้างอารมณ์ร่วมไปกับฉากต่างๆ, บรรยากาศรอบตัว, สร้างจังหวะลุ้น สลับกับสอดแทรกมุกตลกได้ลงตัวตลอดเรื่อง
ผิดกับผู้กำกับหนังฟอร์มใหญ่อัดฉากแอ็คชั่น, อัดฉากเทคนิคพิเศษลงไปหนักๆ หลายคน ที่มักจะทำหนังเป๋ไปเป๋มา ดูแล้วรู้สึกถึงความมันส์ลูกเดียว หรือแค่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจไปกับเทคนิคพิเศษต่างๆ แต่ไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์, ความคิด, ความรู้สึกของตัวละคร หรือสัมผัส "จิตวิญญาณ" ของภาพยนตร์ได้
ถ้าแปซิฟิค ริมภาคแรกสื่อจิตวิญญาณหุ่นเหล็กยักษ์ออกมาอย่างเปี่ยมล้น 'เรดดี้ เพลเยอร์ วัน' ก็สื่อจิตวิญญาณป๊อปคัลเจอร์ออกมาอย่างเลอเลิศไม่แพ้กัน จากเดิมคิดว่าคงไม่อินอะไรกับวัฒนธรรมตะวันตกยุคก่อนนักหนา ทว่าสปีลเบิร์กดึง 'หัวใจ' ของมันมาตีแผ่ต่อหน้าผู้ชมสำเร็จ
คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนรุ่นเก่า เคยผ่านหูผ่านตาบรรดาไข่อีสเตอร์กว่า 100 รายการ เพื่อสนุกสนานกับเรดดี้ เพลเยอร์ วัน เพราะหนังบอกเล่าทุกสิ่งอันซึ่งจำเป็นต่อการรับรู้, รับชม, เข้าใจเรื่องราวไว้เพียบพร้อมแบบเหมาะสม ไม่มากเกินไป, ไม่น้อยเกินไป แต่สิ่งจำเป็นคือ 'สมาธิ' ในการรับชม เพื่อเก็บข้อมูล+รายละเอียดให้ครบถ้วนกระบวนความต่างหาก
และไม่ต้องมีพื้นฐานวัฒนธรรมตะวันตกมากมาย แค่ตั้งใจดูหนังสักหน่อย คุณจะพบการเล่าเรื่อง, สร้างอารมณ์ร่วม และจิตวิญญาณป๊อปคัลเจอร์ ในหนังสุดวิจิตรตระการตาเรื่องนี้โดยครบถ้วน
เรียกว่าสมแล้วจริงๆ กับฉายาพ่อมดแห่งฮอลลีวูดของผู้กำกับรุ่นดึก ถ้าไม่ใช่สปีลเบิร์กทำ หนังเรื่องนี้คงไม่ออกมาดีงาม ตามด้วยประสบความสำเร็จทั้งรายได้+คำวิจารณ์เช่นนี้แน่
อ้อ ได้ข่าวคนเขียนนิยายต้นฉบับ '"เออเนส ไคลน์" เริ่มเขียนนิยายภาคสองแล้วอยู่ แต่ไม่รู้เสร็จเมื่อไหร่ นิยายบางเล่มกว่าจะเขียนเสร็จ นานหลายปีดีดักเอาเรื่อง แถมหนังเรื่องนึงเค้าใช้เวลาสร้างประมาณ 2 ปีอีก กะคร่าวๆ เร็วสุดปาไป 5 ปีโน่นกว่าจะได้ดูภาคต่อ เวลาผ่านนานกระแสตกเผลอๆ ไม่มีโอกาสสร้างด้วยซ้ำ ฉะนั้นลืมๆ เรื่องหนังภาคต่อเสียเถอะ คิดว่ามีให้ดูภาคเดียวจบนี่แหละ :D
COMMENTS