เนื่องจากภาพยนตร์สตาร์วอร์ส The Last Jedi มีเกร็ดเล็กน้อยให้กล่าวถึงหลายต่อหลายเรื่อง หากลงรายละเอียดทีละนิดในหน้าเพจเฟซบุ๊คอย่างเดียวไม่ทั...
เนื่องจากภาพยนตร์สตาร์วอร์ส The Last Jedi มีเกร็ดเล็กน้อยให้กล่าวถึงหลายต่อหลายเรื่อง หากลงรายละเอียดทีละนิดในหน้าเพจเฟซบุ๊คอย่างเดียวไม่ทันใจ ดังนั้นจึงรวบรวมบรรดาเกร็ดน่าสนใจทำเป็นบทความขึ้นมาครับ
1) จุดเชื่อมโยงเล็กๆ ระหว่างสตาร์วอร์สภาค Rogue One กับ Last Jedi
ฉากที่นางเอก Rogue One จิน เออโซกำลังอ่านฐานข้อมูลของกองทัพจักรวรรดิเพื่อหาแผนผังเดธสตาร์ ก็พบข้อมูลอื่น เช่น การพัฒนาระบบนำทาง และ "ระบบแกะรอยไฮเปอร์สเปซ" ซึ่งกองทัพปฐมภาคีนำมาใช้ติดตามยานฝ่ายต่อต้านผ่านไฮเปอร์สเปซใน Last Jedi ภายหลังนั่นเอง
แฟนประจำสตาร์วอร์สคงรู้กันอยู่ว่าปกติเวลายานโดนไล่ล่าแล้วเข้าไฮเปอร์สเปซได้คือรอดตัวแน่ๆ ตอนดู Last Jedi เรื่องระบบแกะรอยนี่ทำเอาแปลกใจนิดๆ เลย คือมันโกงไป(กลายเป็นไม่มียานลำไหนหนีพ้น) ใส่ระบบนี่ในหนังจะดีเรอะ?
แต่ดูทรงแล้วอาจใช้แค่ภาคเดียวก็ได้ เพราะมีแค่ปฐมภาคีที่มีใช้แถมกองยานโดนบึ้มเรียบร้อย หรือถ้าภาคหน้ายังใช้อยู่ พอปฐมภาคีโดนปราบหมดเมื่อไหร่ไอ้ระบบขี้โกงนี่คงหายไปเอง :)
2) ว่าที่ลูกศิษย์คนแรกของลุค
เรื่องนี้ไม่มีอะไรมาก จาก Star Wars: The Last Jedi – The Visual Dictionary (พจนานุกรมภาพของสตาร์วอร์ส ปัจฉิมบทแห่งเจได) มีข้อมูลบอกไว้ว่า ก่อนลุคออกเดินทางรวบรวมลูกศิษย์เพื่อฟื้นฟูนิกายเจได ลุคได้ชวนเลอามาเป็น "ลูกศิษย์คนแรก" แต่เลอาปฎิเสธเพราะเห็นว่าหน้าที่ทางการเมืองของเธอสำคัญกว่า
3) ยาน X-Wing ที่ถูกทำลายของลุค
ฉากตามภาพจากหนังสือ The Art of Star Wars: The Last Jedi แสดงให้เห็นยาน X-Wing ที่ลุคใช้เดินทางสู่ดาวอันห่างไกล Ahch-To (อ่านออกเสียงไม่ถูกวุ้ย :P) จมอยู่ใต้น้ำ-เสียหายเกินกว่าจะซ่อมให้ใช้งานได้อีก ฉากนี้ในหนังสื่อกับคนดูว่าลุคตัดขาดวิธีเดินทางเข้า-ออกดาวเพียงอย่างเดียวของเขาไปแล้ว
ตอนเรย์กับชิวเบ็คก้าขึ้นยานมิลเลนเนียมฟัลคอนไปพบไคโล เรน และช่วยฝ่ายต่อต้าน ลุคจึงไม่มีหนทางในการเดินทางตามไปสมทบกับคนอื่นๆ ทำให้การส่งภาพลวงตาของตนข้ามกาแล็คซี่เพื่อช่วยทุกคนเป็นวิธีเดียวที่เหมาะสมและสามารถทำได้ในเวลานั้น(แถมโชว์ความเทพสมศักดิ์ศรี) ทว่าวิธีนี้สูบพลังผู้ใช้หนักมาก ลุคผู้ชราภาพเลยต้องจบชีวิตลง (คงรวมตัวกับพลังรอโผล่แบบวิญญาณทีหลังหรอกมั้ง ?)
4) ไรอัน จอห์นสันกล่าวว่าไม่เคยมีการวางบทสำคัญใดๆ ให้กัปตันฟาสม่าใน Last Jedi เลย
ตัวร้ายสตอร์มทรูเปอร์หญิง, โครงร่างสูงใหญ่กับเกราะสีเงินวาววับ-กัปตันฟาสม่า จัดว่าเป็นตัวละครที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น กระแสตอบรับต่อตัวละครนี้ของแฟนสตาร์วอร์สก็ถือว่าดี แฟนๆ หลายคนคาดหวังบทบาท-เรื่องราวน่าสนใจของฟาสม่าเพิ่มเติมใน Last Jedi หลังเธอปรากฏตัวไม่กี่ฉากใน Force Awakens สุดท้ายกลายเป็นบทน้อยกว่าเดิม แล้วยังเสร็จฟินเอาดื้อๆ หน้าตาเฉย.....
ผู้กำกับกล่าวทำนองว่าเพราะหนังมีเรื่องราวของตัวละครหลายต่อหลายคนมากเกินกว่าจะยัดบทให้ฟาสม่าแบบเหมาะสม เธอจึงมีบทเพียงแค่สนับสนุนเส้นเรื่องการผจญภัยของฟินเท่านั้น
ทว่าแฟนสตาร์วอร์สบางคนยังไม่หมดหวัง เนื่องจากคราว Force Awakens เธอน่าจะโดนฟินกับโซโลจับโยนที่ทิ้งขยะในฐานทัพสตาร์คิลเลอร์ตอนถูกทำลายยังรอดกลับมา คราวนี้เกราะพิเศษสะท้อนกระสุนพลาสมาของเธออาจช่วยให้ตกไฟไม่ไหม้-รอดตาย กลับมาโผล่ Episode IX อีกครั้งก็ได้
* เสริมนิดนึงแฟนหนังคิดว่าเธอจะมีบทสำคัญๆ ส่วนนึงคงเพราะเลือกนักแสดงจากซีรีส์ชื่อดัง "Game of Thrones" เกว็นโดลิน คริสตี้มาเล่น แต่ผมว่าเขาแค่หานักแสดงหญิงรูปร่างใหญ่แถมต้องใส่เกราะหนักๆ เล่นบทบู๊ได้ด้วยค่อนข้างยาก ให้หานักแสดงหญิงที่มีคุณสมบัตินี้ไม่ว่าใครในแวดวงหนังต่างประเทศ คงต้องนึกถึงเธอคนแรก
5) ไรอัน จอห์นสันอยากใส่ตัวละครแลนโด คาลริสเซี่ยนลงในหนัง แต่หาวิธีใส่ให้เหมาะๆ ไม่ได้
ผู้กำกับไรอันอยากใช้แลนโดเป็นนักถอดรหัส (codebreaker) ช่วยเรย์และโรสทำภารกิจกอบกู้สถานการณ์ฝ่ายต่อต้าน ทว่าแลนโดไม่ใช่ตัวละครที่เหมาะสมกับบทบาท จึงใช้ตัวละครใหม่ "D.J.-ดีเจ" แทน
ทำไมเป็นตัวละครใหม่ ? คงเพราะภารกิจต้องจบด้วยความล้มเหลว จากการทรยศของดีเจนั่นแหละ
อย่างไรก็ตามท้ายเรื่องที่มีการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือของฝ่ายต่อต้านนั้น ไม่มีใครตอบรับเลย ทั้งที่อย่างน้อยที่สุด "แลนโด" ผู้เคยต่อสู้ร่วมกับฮาน-ลุค-เลอา ควรตอบรับสัญญาณนี้ แลนโดช่วงนั้นไม่ว่างกำลังทำธุระเข้าห้องน้ำพอดี =A= หรือกำลังฝ่าฟันโชคชะตาของตัวเองอยู่ คือเรื่องที่ต้องติดตามดูกันต่อไป
6) ดีเจเป็นทั้งชื่อและ"ปรัชญา"
บุรุษผู้เสนอตัวช่วยเหลือฟินและโรสทำภารกิจกอบกู้ชีวิตฝ่ายต่อต้าน ดีเจดูยังไงก็เป็นชื่อเล่นแน่ๆ ถ้างั้นดีเจหมายถึง นักจัดรายการเพลง(D.J.=Disc Jockey) หรือ?
ในหนังดีเจกล่าวคำแนะนำอย่างหนึ่งแก่ฟินว่า "Don't join." = "อย่าเลือกข้าง" เพราะจริงๆ มันไม่ได้มีคนดีหรือเลว 100% ให้เลือกเข้าข้างฝ่ายที่เอื้อประโยชน์แก่ตนเองจะดีที่สุด ตามปรัชญาส่วนตัวของดีเจผู้นี้
จุดยืนยันความหมายของดีเจคือ เขามีป้ายโลหะเล็กๆ สลักคำพูดว่า "Don't join." อยู่ในครอบครอง
7) แหวนของโรส
ข้อมูลจากพจนานุกรมภาพ Last Jedi อีกรอบ ->แหวนของโรสที่ส่งต่อแก่เด็กผู้ชายบนดาวคาสิโน-คันโตไบท์ เป็นของเก่าแก่เกินคาด เจ้าของแหวนดั้งเดิมคือ วุฒิสมาชิกฝ่ายสนับสนุนจักรวรรดิ ในช่วงสงครามระหว่างจักรวรรดิกับกบฏ (แปลว่าแหวนคือของเก่าราว 30 ปีได้)
แหวนที่มีลูกเล่นพิเศษ-เปิดด้านในออกมาเป็นสัญลักษณ์ฝ่ายกบฏคือสิ่งบ่งบอกว่า แท้จริงแล้วผู้ถือครองแหวนนี้คือฝ่ายกบฏ-ฝ่ายต่อต้าน นั่นเอง (เจ้าของแหวนดั้งเดิมด้วย)
8) เสื้อแจ็คเก็ตของฟิน
หลายคนคงจำกันได้ว่าเสื้อแจ็คเก็ตของฟินนั้นได้รับมาจากโพ และท้ายเรื่องภาค The Force Awakens ฟินโดนไลท์เซเบอร์กางเขนของไคโล เรนทิ่มแถวไหล่-เกิดรูทั้งบนตัวคนและแจ็คเก็ต ฟินนอนหลับรักษาตัวพักหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาแล้วใส่แจ็คเก็ตอีกทีคนดูจะเห็นรูบนแจ็คเก็ตได้รับการซ่อมแซมเรียบร้อย
พจนานุกรมภาพบอกข้อมูลเพิ่มเติมเช่นเคย -> คนซ่อมแจ็คเก็ตให้ไม่ใช่ใครที่ไหน, เจ้าของเสื้อคนเก่า "โพ" ครับผม (สัมผัสความสัมพันธ์ชาย-ชายชวนคิดลึกระหว่างสองคนนี้ได้ทันใด :P)
9) ตำราโบราณของนิกายเจได
เรย์จากลุคไปพบไคโล เรนโดยยังไม่สำเร็จการฝึกฝน แถมปะทะพลังไคโล เรนแย่งไลท์เซเบอร์กัน จนกระบี่แสงเก่าของลุคและ
อนาคินถูกทำลาย ต่อให้เรย์พรสวรรค์สูงแค่ไหน การสร้างกระบี่แสงใหม่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำโดยไม่รู้วิธีสร้างได้.....
ทางออกของปัญหานี้คือตำราโบราณของนิกายเจได ที่ลุคนึกว่าโดนวิญญาณโยดาเรียกฟ้าผ่าเผาทิ้งไปแล้ว ความจริงเรย์แอบเอาตำราขึ้นยานมิลเลนเนียมฟัลคอนก่อนหน้านั้น(จะเห็นตำราในฉากที่พวกฝ่ายต่อต้านอยู่บนยานกับเรย์ท้ายเรื่อง)
การฝึกฝน-เรียนรู้ด้วยตนเองจากตำราคงทำให้เรย์กลายเป็นเจไดเต็มตัวและสร้างไลท์เซเบอร์ใหม่ของตนเองได้สำเร็จในที่สุด (ดาบใหม่สีเขียวเลียนแบบคราวของลุคแหง)
1) จุดเชื่อมโยงเล็กๆ ระหว่างสตาร์วอร์สภาค Rogue One กับ Last Jedi
ฉากที่นางเอก Rogue One จิน เออโซกำลังอ่านฐานข้อมูลของกองทัพจักรวรรดิเพื่อหาแผนผังเดธสตาร์ ก็พบข้อมูลอื่น เช่น การพัฒนาระบบนำทาง และ "ระบบแกะรอยไฮเปอร์สเปซ" ซึ่งกองทัพปฐมภาคีนำมาใช้ติดตามยานฝ่ายต่อต้านผ่านไฮเปอร์สเปซใน Last Jedi ภายหลังนั่นเอง
แฟนประจำสตาร์วอร์สคงรู้กันอยู่ว่าปกติเวลายานโดนไล่ล่าแล้วเข้าไฮเปอร์สเปซได้คือรอดตัวแน่ๆ ตอนดู Last Jedi เรื่องระบบแกะรอยนี่ทำเอาแปลกใจนิดๆ เลย คือมันโกงไป(กลายเป็นไม่มียานลำไหนหนีพ้น) ใส่ระบบนี่ในหนังจะดีเรอะ?
แต่ดูทรงแล้วอาจใช้แค่ภาคเดียวก็ได้ เพราะมีแค่ปฐมภาคีที่มีใช้แถมกองยานโดนบึ้มเรียบร้อย หรือถ้าภาคหน้ายังใช้อยู่ พอปฐมภาคีโดนปราบหมดเมื่อไหร่ไอ้ระบบขี้โกงนี่คงหายไปเอง :)
2) ว่าที่ลูกศิษย์คนแรกของลุค
เรื่องนี้ไม่มีอะไรมาก จาก Star Wars: The Last Jedi – The Visual Dictionary (พจนานุกรมภาพของสตาร์วอร์ส ปัจฉิมบทแห่งเจได) มีข้อมูลบอกไว้ว่า ก่อนลุคออกเดินทางรวบรวมลูกศิษย์เพื่อฟื้นฟูนิกายเจได ลุคได้ชวนเลอามาเป็น "ลูกศิษย์คนแรก" แต่เลอาปฎิเสธเพราะเห็นว่าหน้าที่ทางการเมืองของเธอสำคัญกว่า
3) ยาน X-Wing ที่ถูกทำลายของลุค
ฉากตามภาพจากหนังสือ The Art of Star Wars: The Last Jedi แสดงให้เห็นยาน X-Wing ที่ลุคใช้เดินทางสู่ดาวอันห่างไกล Ahch-To (อ่านออกเสียงไม่ถูกวุ้ย :P) จมอยู่ใต้น้ำ-เสียหายเกินกว่าจะซ่อมให้ใช้งานได้อีก ฉากนี้ในหนังสื่อกับคนดูว่าลุคตัดขาดวิธีเดินทางเข้า-ออกดาวเพียงอย่างเดียวของเขาไปแล้ว
ตอนเรย์กับชิวเบ็คก้าขึ้นยานมิลเลนเนียมฟัลคอนไปพบไคโล เรน และช่วยฝ่ายต่อต้าน ลุคจึงไม่มีหนทางในการเดินทางตามไปสมทบกับคนอื่นๆ ทำให้การส่งภาพลวงตาของตนข้ามกาแล็คซี่เพื่อช่วยทุกคนเป็นวิธีเดียวที่เหมาะสมและสามารถทำได้ในเวลานั้น(แถมโชว์ความเทพสมศักดิ์ศรี) ทว่าวิธีนี้สูบพลังผู้ใช้หนักมาก ลุคผู้ชราภาพเลยต้องจบชีวิตลง (คงรวมตัวกับพลังรอโผล่แบบวิญญาณทีหลังหรอกมั้ง ?)
4) ไรอัน จอห์นสันกล่าวว่าไม่เคยมีการวางบทสำคัญใดๆ ให้กัปตันฟาสม่าใน Last Jedi เลย
ตัวร้ายสตอร์มทรูเปอร์หญิง, โครงร่างสูงใหญ่กับเกราะสีเงินวาววับ-กัปตันฟาสม่า จัดว่าเป็นตัวละครที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น กระแสตอบรับต่อตัวละครนี้ของแฟนสตาร์วอร์สก็ถือว่าดี แฟนๆ หลายคนคาดหวังบทบาท-เรื่องราวน่าสนใจของฟาสม่าเพิ่มเติมใน Last Jedi หลังเธอปรากฏตัวไม่กี่ฉากใน Force Awakens สุดท้ายกลายเป็นบทน้อยกว่าเดิม แล้วยังเสร็จฟินเอาดื้อๆ หน้าตาเฉย.....
ผู้กำกับกล่าวทำนองว่าเพราะหนังมีเรื่องราวของตัวละครหลายต่อหลายคนมากเกินกว่าจะยัดบทให้ฟาสม่าแบบเหมาะสม เธอจึงมีบทเพียงแค่สนับสนุนเส้นเรื่องการผจญภัยของฟินเท่านั้น
ทว่าแฟนสตาร์วอร์สบางคนยังไม่หมดหวัง เนื่องจากคราว Force Awakens เธอน่าจะโดนฟินกับโซโลจับโยนที่ทิ้งขยะในฐานทัพสตาร์คิลเลอร์ตอนถูกทำลายยังรอดกลับมา คราวนี้เกราะพิเศษสะท้อนกระสุนพลาสมาของเธออาจช่วยให้ตกไฟไม่ไหม้-รอดตาย กลับมาโผล่ Episode IX อีกครั้งก็ได้
* เสริมนิดนึงแฟนหนังคิดว่าเธอจะมีบทสำคัญๆ ส่วนนึงคงเพราะเลือกนักแสดงจากซีรีส์ชื่อดัง "Game of Thrones" เกว็นโดลิน คริสตี้มาเล่น แต่ผมว่าเขาแค่หานักแสดงหญิงรูปร่างใหญ่แถมต้องใส่เกราะหนักๆ เล่นบทบู๊ได้ด้วยค่อนข้างยาก ให้หานักแสดงหญิงที่มีคุณสมบัตินี้ไม่ว่าใครในแวดวงหนังต่างประเทศ คงต้องนึกถึงเธอคนแรก
5) ไรอัน จอห์นสันอยากใส่ตัวละครแลนโด คาลริสเซี่ยนลงในหนัง แต่หาวิธีใส่ให้เหมาะๆ ไม่ได้
ผู้กำกับไรอันอยากใช้แลนโดเป็นนักถอดรหัส (codebreaker) ช่วยเรย์และโรสทำภารกิจกอบกู้สถานการณ์ฝ่ายต่อต้าน ทว่าแลนโดไม่ใช่ตัวละครที่เหมาะสมกับบทบาท จึงใช้ตัวละครใหม่ "D.J.-ดีเจ" แทน
ทำไมเป็นตัวละครใหม่ ? คงเพราะภารกิจต้องจบด้วยความล้มเหลว จากการทรยศของดีเจนั่นแหละ
อย่างไรก็ตามท้ายเรื่องที่มีการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือของฝ่ายต่อต้านนั้น ไม่มีใครตอบรับเลย ทั้งที่อย่างน้อยที่สุด "แลนโด" ผู้เคยต่อสู้ร่วมกับฮาน-ลุค-เลอา ควรตอบรับสัญญาณนี้ แลนโดช่วงนั้นไม่ว่างกำลังทำธุระเข้าห้องน้ำพอดี =A= หรือกำลังฝ่าฟันโชคชะตาของตัวเองอยู่ คือเรื่องที่ต้องติดตามดูกันต่อไป
6) ดีเจเป็นทั้งชื่อและ"ปรัชญา"
บุรุษผู้เสนอตัวช่วยเหลือฟินและโรสทำภารกิจกอบกู้ชีวิตฝ่ายต่อต้าน ดีเจดูยังไงก็เป็นชื่อเล่นแน่ๆ ถ้างั้นดีเจหมายถึง นักจัดรายการเพลง(D.J.=Disc Jockey) หรือ?
ในหนังดีเจกล่าวคำแนะนำอย่างหนึ่งแก่ฟินว่า "Don't join." = "อย่าเลือกข้าง" เพราะจริงๆ มันไม่ได้มีคนดีหรือเลว 100% ให้เลือกเข้าข้างฝ่ายที่เอื้อประโยชน์แก่ตนเองจะดีที่สุด ตามปรัชญาส่วนตัวของดีเจผู้นี้
จุดยืนยันความหมายของดีเจคือ เขามีป้ายโลหะเล็กๆ สลักคำพูดว่า "Don't join." อยู่ในครอบครอง
7) แหวนของโรส
ข้อมูลจากพจนานุกรมภาพ Last Jedi อีกรอบ ->แหวนของโรสที่ส่งต่อแก่เด็กผู้ชายบนดาวคาสิโน-คันโตไบท์ เป็นของเก่าแก่เกินคาด เจ้าของแหวนดั้งเดิมคือ วุฒิสมาชิกฝ่ายสนับสนุนจักรวรรดิ ในช่วงสงครามระหว่างจักรวรรดิกับกบฏ (แปลว่าแหวนคือของเก่าราว 30 ปีได้)
แหวนที่มีลูกเล่นพิเศษ-เปิดด้านในออกมาเป็นสัญลักษณ์ฝ่ายกบฏคือสิ่งบ่งบอกว่า แท้จริงแล้วผู้ถือครองแหวนนี้คือฝ่ายกบฏ-ฝ่ายต่อต้าน นั่นเอง (เจ้าของแหวนดั้งเดิมด้วย)
8) เสื้อแจ็คเก็ตของฟิน
หลายคนคงจำกันได้ว่าเสื้อแจ็คเก็ตของฟินนั้นได้รับมาจากโพ และท้ายเรื่องภาค The Force Awakens ฟินโดนไลท์เซเบอร์กางเขนของไคโล เรนทิ่มแถวไหล่-เกิดรูทั้งบนตัวคนและแจ็คเก็ต ฟินนอนหลับรักษาตัวพักหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาแล้วใส่แจ็คเก็ตอีกทีคนดูจะเห็นรูบนแจ็คเก็ตได้รับการซ่อมแซมเรียบร้อย
พจนานุกรมภาพบอกข้อมูลเพิ่มเติมเช่นเคย -> คนซ่อมแจ็คเก็ตให้ไม่ใช่ใครที่ไหน, เจ้าของเสื้อคนเก่า "โพ" ครับผม (สัมผัสความสัมพันธ์ชาย-ชายชวนคิดลึกระหว่างสองคนนี้ได้ทันใด :P)
9) ตำราโบราณของนิกายเจได
เรย์จากลุคไปพบไคโล เรนโดยยังไม่สำเร็จการฝึกฝน แถมปะทะพลังไคโล เรนแย่งไลท์เซเบอร์กัน จนกระบี่แสงเก่าของลุคและ
อนาคินถูกทำลาย ต่อให้เรย์พรสวรรค์สูงแค่ไหน การสร้างกระบี่แสงใหม่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำโดยไม่รู้วิธีสร้างได้.....
ทางออกของปัญหานี้คือตำราโบราณของนิกายเจได ที่ลุคนึกว่าโดนวิญญาณโยดาเรียกฟ้าผ่าเผาทิ้งไปแล้ว ความจริงเรย์แอบเอาตำราขึ้นยานมิลเลนเนียมฟัลคอนก่อนหน้านั้น(จะเห็นตำราในฉากที่พวกฝ่ายต่อต้านอยู่บนยานกับเรย์ท้ายเรื่อง)
การฝึกฝน-เรียนรู้ด้วยตนเองจากตำราคงทำให้เรย์กลายเป็นเจไดเต็มตัวและสร้างไลท์เซเบอร์ใหม่ของตนเองได้สำเร็จในที่สุด (ดาบใหม่สีเขียวเลียนแบบคราวของลุคแหง)
10) "ชักสังหรณ์ใจไม่ดีแล้วสิ (I have a bad feeling about this.)"
ลุค สกายวอล์คเกอร์พูดประโยคนี้ครั้งแรกใน Episode IV: A New Hope ภาพยนตร์สตาร์วอร์สเรื่องแรกสุด ตอนยานมิลเลนเนียมฟัลคอนโดนดึงเข้าสู่เดธสตาร์ หลังจากนั้นมาก็กลายเป็นธรรมเนียมว่าหนังสตาร์วอร์สทุกภาคต้องมีตัวละครในเรื่องพูดแบบเดียวกันตลอด
Every "I Have a Bad Feeling About This" in Star Wars
พอ Last Jedi ฉายแต่ไม่มีใครได้ยินประโยคนี้ แฟนสตาร์วอร์สเลยบ่นในทวิตเตอร์กันใหญ่ (ภาคนี้โดนแฟนๆ บ่นมันทุกเรื่อง) ผู้กำกับจึงบอกว่าใส่แล้วจ้า ไม่ได้ลืมนะ
ถ้างั้นทำไมไม่มีใครได้ยิน ? แปลว่าไม่ได้พูดเป็นภาษาปกติ -> ความเป็นไปได้สูงสุดคือประโยคนี้ถูกพูดโดยบีบีเอ้ท ช่วงถล่มยานปฐมภาคีพร้อมโพต้นเรื่อง
บีบีเอ้ท : " !@#$%^&* "
โพ : " ไม่เอาน่าเพื่อนมองในแง่ดีหน่อยสิ "
("Happy beeps here buddy, c'mon")
เอาเป็นว่าบีบีเอ้ทบี๊บๆ อะไรไม่รู้ จากนั้นโพตอบกลับทำนองให้มองในแง่ดีหน่อย หมายความว่าบีบีเอ้ทพูดประโยคคลาสสิค "ชักสังหรณ์ใจไม่ดีแล้วสิ" นั่นแหละ
ที่มา
COMMENTS