มีนักแสดงสมัยใหม่ เพียงไม่กี่คน ที่สามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณ และความเป็นชายชาตรี ของแอ็กชั่นฮีโร่ ในยุค 80 และ 90, ได้ดีไปกว่า เจอราร์ด บัตเลอ...
มีนักแสดงสมัยใหม่ เพียงไม่กี่คน ที่สามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณ และความเป็นชายชาตรี
ของแอ็กชั่นฮีโร่ ในยุค 80 และ 90, ได้ดีไปกว่า เจอราร์ด บัตเลอร์
เขาช่วยประธานาธิบดี กับปลิดชีพผู้ก่อการร้าย ใน Olympus Has Fallen
และเซฟครอบครัว อันเป็นที่รัก จากหายนะใหญ่, แถว ๆ เรื่อง Greenland
อาชีพการงาน ของบัตเลอร์ สร้างขึ้นจากรากฐาน, ของตัวละครที่แข็งแกร่ง เหนือจริง แต่เปราะบาง
เพลานี้เขา หวนคืนสู่บท ลูกพี่นิค (บิ๊กนิค) โอไบรอัน ณ Den of Thieves 2: Pantera
ซึ่งคือภาคต่อ ของหนังระทึกขวัญ โคตรนรกปล้นเหนือเมฆ แห่งค.ศ. 2018
อันกลายเป็น ภาพยนตร์ยอดนิยม แบบเฉพาะกลุ่ม
ภาคใหม่นี้ เขียนบทและกำกับ โดยคริสเตียน กูเดกาสต์
เล่าถึงตัวละคร ของคุณบัตเลอร์ ผู้สลัดคราบหมาต๋า สู่อาชญากร, ที่กระโจนเข้าไปพัวพัน กับการโจรกรรม เดิมพันสูง
ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจ จากเหตุปล้นเหนือเมฆ ในชีวิตจริง, แบบการขโมยเพชร ที่แอนต์เวิร์ป (Antwerp Diamond Heist)
เวทีหลัก ก็เปลี่ยนจาก ท้องถนน บนลอสแองเจลิส, สู่ยุโรปแทน
คนของสื่อตปท. (The Playlist) จับเข่าคุยกับ คุณบัตเลอร์, เพื่อถามถึง หนังภาคต่อเรื่องนี้
ความสามารถ ในการสร้างแฟรนไชส์แอ็กชั่น อันตายยากเกินคาด ของเจอราร์ด
และความรู้สึกเกี่ยวกับ ตัวละครหนังบู๊ ชื่อดังอยู่แล้ว ที่เขาไม่เคยได้เล่น, อย่างเช่น แบทแมน หรือเจมส์บอนด์
หนังเรื่องแรก เป็นแนวปล้นชิง, ที่ได้รับอิทธิพล จากเรื่อง Heat และหนังคลาสสิกอื่น ๆ อย่างชัดเจน
และมันทำให้คนดู รู้สึกเหมือนรับชม การแข่งหมากฮอส
ก่อนที่จู่ ๆ ก็ดันรู้ว่า คุณกำลังดู การประชันหมากรุกแทน
ถ้ายังอยาก ทำให้ผู้ชม ประหลาดใจซ้ำ, สงสัยภาค 2 คงต้องหักเหลี่ยมกัน ระดับเล่นหมากรุก 3 มิติ...
เปรียบเทียบได้ดี ชนิดน่าจำไปใช้
เอาล่ะ ในฐานะ ผู้อำนวยการสร้างด้วย, คุณหารือแนวทาง ก่อนเริ่มทำ Den of Thieves 2: Pantera อย่างไร
อะไรประมาณว่า "เราต้องเล่นใหญ่กว่าเก่า หรือทำไงให้มัน ประสบความสำเร็จกว่าเดิม" ใช่ไหม ?
เมื่อหนังเรื่องแรกออกฉาย ผู้ชมจำนวนมาก ต่างรู้สึกประทับใจ
เพราะมันมีความดุดัน ตึงเครียด มีตัวละครที่ยอดเยี่ยม, แถมค่อนข้างดิบ และตรงไปตรงมา
ผมคิดว่า มันแตกต่างจากเรื่อง Heat เล็กน้อย, ตรงที่ Den of Thieves ทั้งตลก ดิบ และบ้าระห่ำ...
ผมคิดว่า เราผลักดัน แนวทางนั้นต่อได้, โดยขั้นแรก วางกรอบเซ็ตติ้งกว้างขึ้น และเพิ่มงบประมาณ
ทีมงานว่า "ไปยุโรปกันเถอะ" เพื่อสร้างอารมณ์ สไตล์ และโทนใหม่
ให้เกิดความสนุกจาก การเปลี่ยนบรรยากาศ, เพราะภาคแรก พื้นที่เดินเรื่อง คับแคบกว่า คือแค่ในแอล.เอ.
ตัดประเด็น ชีวิตมันเฮงซวย, เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพจิตออก...
แต่แน่ละว่า นิคยังคง ไม่มีความสุข, ส่วนดอนนี่เลเวลอัพ และพวกเขาก็เข้าสู่ เส้นทางแห่งการปะทะกัน
เราขยายขอบเขต เพิ่มความตึงเครียด, เราสนุกกับ ตัวละครมากขึ้น
และเรารู้ว่า การเปลี่ยนแปลงทิศทาง ได้ผลลัพธ์ทางบวกจริง ๆ ในหนังของเรา
และเนื่องจาก คนอย่างบิ๊กนิค ยากจะคาดเดา
คุณจึงมีทั้ง เรื่องราวเข้มข้น และตัวละครที่อ่านไม่ออก, เพราะเขาก็ ไม่รู้ว่าตัวเอง จะทำสิ่งใดต่อ
แม้เป็นคนเก่ง แต่บางครั้งเขาก็เป็น ดั่งหายนะที่เดินได้, และนั่นทำให้เรื่องราว น่าสนใจมากขึ้น
จู่ๆ เขาก็ มาร่วมมือกับดอนนี่, นักวางแผน ที่ชาญฉลาด
แต่ไม่สามารถ ปิดบังความลนลาน, เมื่อจู่ ๆ ดันเห็น ลูกพี่นิค เดินเข้าร้านคนจีน (*เหตุการณ์ ในหนังภาคแรก)
และยังมีเรื่องวุ่น อีกมากมาย ทั้งสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น เหมือนพี่น้อง
ผองเพื่อนตำรวจ หมาต๋ากังฉิน ความไว้วางใจ การแก้แค้น ความภักดี และอารมณ์ขัน
หนังเรื่องนี้ ทำได้อย่างยอดเยี่ยม และยังตลกมาก
แต่สุดท้าย ความจริง ความตึงเครียด และความระทึกขวัญ ก็วิ่งตามมาทัน
ความบันเทิงเหล่านั้น มันคือของจริง, ที่สนุกดีด้วย
เมื่อภาคแรกจบ คุณคงคิดว่า "โห มันดีจริง ๆ ว่ะ"
แล้วตอนภาคนี้จบ คุณน่าจะคิดว่า "ต้องมีภาคที่สามแล้วสิ!"
พวกคุณ วางแผนอะไรไว้บ้าง สำหรับภาคที่สาม ของไตรภาคชุดนี้ ?
คริสเตียนเสนอไอเดียใหม่ เมื่อไม่กี่วันก่อน, และผมชอบ ไอเดียนั้นมาก
มันค่อนข้างเร็ว และแน่นอนว่า น่าตื่นเต้นมากด้วย, ดังนั้นนั่นอาจ เป็นสิ่งที่เราจะใช้
แต่ผมก็ชอบใจ บทสรุปของภาค 2, ใช่ มันควรมี ตอนที่ 3
แต่ผมว่ามันจบ แบบเจ๋งพอแล้ว แม้ว่าไม่มีตอนต่อ, ฉากสุดท้าย ยอดเยี่ยม แบบนั้นแหละ
นี่คืออีกหนึ่งผลงาน ที่คุณสามารถ นำมาเชื่อมโยงกัน, และสร้างเป็นแอ็คชั่นแฟรนไชส์ใหม่ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
มันเหมือน เข็มขัดอเนกประสงค์ ของมนุษย์ค้างคาว, ที่ประโยชน์ใช้สอยเพียบ
ราวกับว่า คุณกำลังโบกธง ให้กับภาพยนตร์แอ็คชั่นยุค 80 และ 90, ซึ่งผมเคยดู และรู้สึกชื่นชอบมาก
เราไม่เคยทำ ด้วยมุมมองว่า "จะรักษาคุณภาพ ได้อย่างไร โดยคำนึงถึง ความยั่งยืน" เพื่อรักษา ความเป็นไปได้ ในการเก็บกินยาว
บางทีที่มัน กลายเป็นแฟรนไชส์ อาจแค่เพราะแนวทางนี้ เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น
ผมหวังว่า จะมีคำตอบ อันชาญฉลาดกว่านี้, แต่บอกตามตรง
ผมไม่เคยคิดว่า หนังซึ่งเคยเล่น จะกลายเป็นแฟรนไชส์ หรือได้ทำภาค 2, อย่างเช่น Greenland นั่น
สำหรับ Olympus Has Fallen ก็ประมาณ "เอ้า ทำหนังแจ่ม ๆ และหวังว่าผู้คนจะไปดู กันเถอะ"
ผมไม่คิด แม้แต่วินาทีเดียวว่า พระเอกจะกลับมา จนกระทั่งหนังปัง
และเราต่างก็พูดว่า "โอ้พระเจ้า ผู้คนชอบ ภาพยนตร์เรื่องนี้!"...
ใช่แล้ว คุณเป็นศูนย์กลาง ของหลายแฟรนไชส์ ทั้ง Greenland, Den of Thieves, Plane และ Has Fallen
พูดถึง Has Fallen เห็นว่าภาคต่อ น่าจะมีชื่อว่า Night Has Fallen นะ
แล้วตอนนี้ ขั้นตอนการผลิต คืบหน้าไปถึงไหน ?
ผมนึกถึงมัน มากขึ้น เพราะช่วงนี้กลับมา ให้สัมภาษณ์สื่ออีก, ผมสังเกตว่า มีคนถามถึงเรื่องนี้ ไม่น้อย
ซึ่งบางครั้งก็เป็น เพียงบทสนทนาข้างถนน ที่ใครสักคนทักว่า "เฮ้ เกิดอะไรขึ้น กับเรื่องนั้น ?"
ผมแค่ตัดบท โดยพูดว่า "ใช่ ใช่ บางที สักวันหนึ่ง!"
ผมต้องบอกว่า ในบรรดาหนังแอ็คชั่น ทั้งหมดที่เคยเล่น, Has Fallen ทำร้ายสังขาร หนักข้อสุด
เพราะผมยอม ทุ่มสุดตัวให้กับมัน มีฉากต่อสู้ก็เยอะ, ทำเอากระดูกหัก หลายหน
ผมกระดูกคอหัก สองชิ้น เพราะหนังเรื่องนั้น, มันดูดพลัง ออกไปจากร่างเพียบ
ผมคิดว่าได้ทุ่มเท ลงไปอย่าง เต็มที่พอแล้ว
แต่พอถูกคุณถาม ถึงแฟรนไชส์พวกนี้, ผมระลึกได้ว่า มันเป็นสิ่งที่ผม เริ่มไว้จริง ๆ
ยิ่งกว่า How To Train Your Dragon ซึ่งไม่ใช่แฟรนไชส์ ของผมซะทีเดียว
แต่ผมได้เป็นส่วนหนึ่ง ของสิ่งที่สวยงาม, ผมมีความสุขมาก
และแฟรนไชส์พวกนั้น จะยังคงเป็น ส่วนหนึ่งของผมเสมอ, ไม่ว่ามันจะมีผม อยู่ในนั้นหรือไม่ก็ตาม
ต่างจาก Olympus Has Fallen ที่ผมอยู่ด้วย ตั้งแต่แรก, เป็นแฟรนไชส์ เรื่องแรกของผม
ผมเพิ่งได้คุยกับ โมเรน่า [บัคคาริน] เกี่ยวกับ Greenland: Migration, เธอพูดถึงมันคร่าว ๆ
ผมตื่นเต้นมาก, ภาพยนตร์เกี่ยวกับ ภัยพิบัติ เป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบ
เพราะโตมาในยุค 80 และ 90, ซึ่งมักจะมีฉาย ทางเคเบิลทีวีเรื่อย ๆ
เราจะได้ดูตัวอย่าง เมื่อไหร่, คุณบอกอะไร เกี่ยวกับหนังนั่นได้บ้าง ?
ไม่แน่ใจว่า เราจะได้เห็นตัวอย่าง เมื่อไหร่, ผมรู้ว่าเรา กำลังตัดต่ออยู่
มันเป็นหนังดี มีไอเดียที่ดี และมีพลังยิ่ง, เป็นอีกครั้งที่เล่น ประเด็นเกี่ยวกับครอบครัว
มันเป็นอะไร ที่บรรเจิด, พวกเขาให้ทุนเรา มาถลุง เยอะขึ้นจม
เนื้อเรื่องก็สุดยอด, แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันยังคงเกี่ยวข้อง กับเรื่องของครอบครัวนี้ ที่รวมตัวกัน ในช่วงเวลาอันยากลำบาก
มันเป็นเรื่องของ ความกล้าหาญ, มันเป็นเรื่องของความรัก
มันเป็นเรื่องของ ความภักดีต่อกัน, และมันเป็นเรื่องของ การร่วมแรงเพื่อฝ่าฟัน อุปสรรคต่าง ๆ
มีสิ่งดี ๆ มากมายในนั้น, แต่เรายังคง ตัดต่อกันอยู่
มันเป็นหนังที่ เอฟเฟกต์พิเศษ มีความสำคัญ อย่างเห็นได้ชัด
และตอนนี้เราก็ กำลังปลุกปั้น ตรงจุดนั้นด้วย
ผมตื่นเต้นมาก ที่จะได้เห็น ผลลัพธ์สุดท้าย
เพราะผมคิดว่า จะได้หนังที่ น่าดึงดูด, และชวนมีอารมณ์ร่วม
พูดถึงแฟรนไชส์ มีช่วงหนึ่งที่คุณเสนอตัว หรือล้อเล่นก็ไม่รู้, ว่าอยากเล่นเป็นแบทแมน
น่าจะฉบับของ แซ็ก สไนเดอร์ ละมั้งนั่น
คุณยังสนใจ ที่จะรับบทนั้น อยู่มั้ย ?, หรือขอถอนตัวออกจาก การแข่งขัน เพราะคุณมีเรื่องอื่น ๆ มากมายให้ทำ
รู้มั้ยว่า นั่นตลกดี, ผมไม่เคยคิดจริงเลย แม้แต่วินาทีเดียว ว่าจะได้เล่นเป็นแบทแมน
คงจะแค่มุกตลก, แต่ในขณะที่ผม นั่งงงอยู่ว่า "เดี๋ยวนะ แบทแมน... ผมเนี่ยเหรอ"
ผมเดาว่า คุณคงกำลัง, สับสนกับ การสัมภาษณ์ ดาราคนอื่น ๆ
เปล่าเลย [แซ็ก สไนเดอร์] ไม่เคยคุยเรื่องนี้ กับผม
ผมคิดว่า คงจะแปลกนิด ๆ, ถ้าได้เป็นทั้ง ลีโอนิดัสและแบทแมน
แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ในอาชีพของผม มักเป็นอะไร ในลักษณะนั้น, เหมือนเป็น ธรรมดาของมัน
แต่สิ่งที่ดีอย่างหนึ่ง ของการได้สวมบท ลีโอนิดัส, ก็คือมันจบ ในรอบเดียว
คุณกำหนด ทิศทางของบทบาทไว้, พอเสร็จแล้วก็แค่ ก้าวไปต่อ
ผมเคารพ บทบอนด์—มันคงยอดนัก หากได้เล่นเป็น เจมส์ บอนด์
แต่ก็ไม่รู้สินะ มันเหมือนกับว่า, ถ้าได้ลองเล่นสักครั้ง ก็ถอนตัวออกยาก
ขณะที่ผม ยังคงทำ แฟรนไชส์ของตัวเองได้ โดยไม่มีใครพูดว่า, "เขาก็แค่ไมค์ แบนนิ่ง" หรือ "เขาก็แค่สโตอิก" หรือ "เขาก็แค่บิ๊กนิค"
ผมเป็นสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ได้ทั้งหมด, และสามารถ หลุดพ้นจากมัน
เพราะงั้น แค่ในบางแง่, ผมรู้สึกโชคดีที่ ชวดไปบางบท
ที่มา: theplaylist
COMMENTS