หลังความสำเร็จของ The Lord of the Rings กับ The Hobbit ซึ่งค่ายอื่นสร้าง อเมซอนใกล้ปล่อยงานดัดแปลง จากจักรวาลแห่งโทลคีนชิ้นใหม่ อย่างซีรีส์ค...
หลังความสำเร็จของ The Lord of the Rings กับ The Hobbit ซึ่งค่ายอื่นสร้าง
อเมซอนใกล้ปล่อยงานดัดแปลง จากจักรวาลแห่งโทลคีนชิ้นใหม่ อย่างซีรีส์คนแสดงทุ่มทุนผลิตชุด The Rings of Power
ซึ่งไม่ว่าพอเผยแพร่จริงจะปังหรือพัง แต่ก็ส่งผลให้ยามนี้เหมาะ แก่การส่องดูอยู่ดี
ว่า "ยุคที่ 2" ของมิดเดิลเอิร์ธ อันละครใช้เป็นเวทีของเนื้อหา, แท้จริงแล้วคือช่วงเวลาแบบไหน
เหล่าผู้ลี้ภัย
เทวดาโฉดมอร์ก็อธถูกขัง ณ สุญภูมิ มิอาจกลับมาสู่ภพของบุตรแห่งอิลูวาทาร์ได้อีก
แต่ความเสียหายระดับเปลี่ยนภูมิทัศน์ดาว จากมหาสงครามตอนสิ้นยุคที่ 1
ทำให้ชาวมัชฌิมโลกนับไม่ถ้วน กลายเป็นผู้ลี้ภัย ต้องมองหาบ้านใหม่กันจ้าละหวั่นในยุคที่ 2
เรื่องเล่าเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐาน ของชนนู้นเผ่านี้ตรงโน้นตรงนี้ คือมีเพียบ
รายละเอียดส่วนใหญ่ขอข้าม ยกเว้นเฉพาะบางชุมชนอาณาจักร ตามที่เว็บต้นทางคัดสรร
เริ่มกันที่มิธลอนด์ (Mithlond) เมืองท่าของเอล์ฟ
ซึ่งก่อตั้งแถวชายฝั่ง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปหลัก, ณ ปีแรกของยุค 2
มิธลอนด์หรือที่คนเคยดูหนังชุด LOTR น่าจะจำได้ในชื่อเกรย์เฮเวนส์ (Grey Havens)
คือจุดเชื่อมสำคัญระหว่างแผ่นดินใหญ่ กับดินแดนที่ (อนาคตจะ) ถูกลืมทางตะวันตก
โฟรโด & บิลโบ ขึ้นเรือมุ่งสู่วาลินอร์จากนครนี้ หลังเกษียณพ้นหน้าที่ผู้ครองแหวนประมุข
ประมาณ 1,700 ปีหลังเกรย์เฮเวนส์ถูกสร้าง, "ริเวนเดลล์" อันเป็นฐานที่มั่นหลักแห่งหนึ่งของชาวเอล์ฟ ก็ก่อตั้ง
พรายชาย "เอลรอนด์" ผู้บทเด่นแถว LOTR กับ The Hobbit เป็นเจ้าของ
ในภายภาคหน้า ทั้งคณะเดินทางของบิลโบและโฟรโด
ต่างต้องมาพักผ่อนฟื้นฟูกำลัง หลังเหนื่อยล้าเพราะการผจญภัยกันที่นี่
กาลาเดรียล & เคเลบอร์น พบบ้านใหม่
เจ้าแม่เอล์ฟกาลาเดรียล สมัยยังสาวอยู่ (อายุแค่หลายพันปี) สมรสกับคุณสามีชื่อเคเลบอร์น (Celeborn)
ในยุคที่ 2 ทั้งสองโยกไปโน่น ย้ายมานี่, อาศัยซบไหล่ชุมชนเอล์ฟโน้นทีนี้ที
ก่อนจะผ่านเทือกเขาชื่อมิสตี้ และลงเอยที่ "ลอธลอริเอน" (Lothlorien)
พวกเขาไม่ใช่ผู้จัดตั้งนครกลางป่า หรือผู้ปกครองเมืองแห่งนี้ ในตอนแรก
แต่อิทธิพลของทั้งคู่ต่อผู้คน (เอล์ฟ) รอบข้าง เพิ่มพูนตามกาล
แล้วเมื่อกาลาดริเอล ได้ครองแหวนแห่งอำนาจ (Ring of Power) วงหนึ่งนั่นแหละ
หล่อนจึงเถลิงศักราชเจ้าแม่ ด้วยการใช้พลังของมัน คอยรักษาความรุ่งเรืองและปลอดภัยของเมือง
ณ จุดหนึ่ง, เธอให้กำเนิดบุตรสาวนามเคเลบริอัน (Celebrían)
ผู้จะกลายเป็นภรรยาของท่านเอลด์รอน และมารดาของอาร์เวน (แฟนอารากอร์น)
อาณาจักรกลางทะเล
บทความเป็นสรุปเหตุการณ์ของยุค 2 ฉะนั้นประเด็นโดยรวม อาจกระจัดกระจาย
แต่ขออธิบายไว้ให้ชัดหน่อยว่า ช่วงเวลาหลายพันปีของยุคนี้ ตามงานเขียนของโทลคีนจริงๆ
จะเน้นเรื่องเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์คร่าวๆ ของมนุษย์ชาว "นูเมนอร์" ซึ่งสืบเชื้อสายจาก 'สามตระกูลใหญ่'
หรือมนุษย์กลุ่มแรกๆ ที่สร้างความสัมพันธ์อันดีกับเอล์ฟ และเคยช่วยพวกนั้นรบกับมอร์ก็อธ
เพราะผลงานในสงครามแห่งความโกรธา (การสัประยุทธ์ครั้งสุดท้ายของยุค 1)
เทพวาลาร์หลายองค์ จึงเสกเกาะกลางทะเลรูปดาว และประทานพรหลายข้อ
แก่ชาวมนุษย์ของสามตระกูลใหญ่, เพื่อให้พวกเขา ได้มีบ้านใหม่ของตัวเอง
ราชวงศ์ที่เริ่มต้นด้วยเอลรอส (พี่ชายเอลรอนด์) เอล์ฟเลือดผสม, ผู้เลือกเส้นทางของมนุษย์ (คือตายได้)
ก็รูปร่างสูงใหญ่งามสง่า แถมมีชีวิตยืนยาวกว่ามนุษย์ปกติมาก
ชาวนูเมนอร์ตั้งต้นด้วยการ มีปฏิสัมพันธ์อันดีต่อทั้งเอลฟ์และวาลาร์ ทางฝั่งตะวันตก (วาลินอร์)
เผื่อแผ่วิทยาการ แก่มนุษย์ชาวมิดเดิลเอิร์ธ, ในช่วงที่บอบช้ำจากยุค 1 จนอารยธรรมถดถอย
แต่หลังจากผ่านไปนาน (กษัตริย์ผลัดแผ่นดิน 10-20 รุ่น) ราชวงศ์ชักเสื่อมถอย, อายุค่อยๆ สั้นลงกัน
ความสัมพันธ์กับเอล์ฟ & วาลาร์ทางตะวันตกไม่สู้ดี, แถมมีไปทำตัวนักเลง กร่างใส่คนบนทวีปหลักอีก
แหวนแห่งอำนาจ
ด้านแผ่นดินทวีปหลัก "เซารอน" ข้ารับใช้เก่าของมอร์ก็อธ ออกจากเงาของเจ้านาย
และเริ่มธุรกิจสตาร์ทอัพสายมืดของตน โดยใช้รูปโฉมจำแลง แบบงดงาม
เที่ยวท่องตามอาณาจักรเอล์ฟต่างๆ ทำเป็นสอนวิชาการความรู้นั่นนี่ให้ โดยอ้างว่าเพื่อมิตรไมตรีหลายศตวรรษ
มีเจ้านายเอล์ฟไม่กี่ราย (เช่น เอลรอนด์, กาลาเดรียล) ระแคะระคายว่าความหวังดีแบบฟรีๆ ของคนแปลกหน้าไม่มีจริง
พรายส่วนใหญ่หลงเชื่อคารม ของคนหน้าตาดีและมีความรอบรู้กัน
เอล์ฟกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาศัยใกล้พวกคนแคระแถวสถานที่ชื่อคาห์ซัด-ดูม (เหมืองมอเรีย) ถนัดด้านงานช่าง
ฉะนั้นพรายกลุ่มที่นำโดยชายชื่อ เคเลบริมบอร์ (Celebrimbor) นี่แหละ, คืออะไรที่เซารอนมองหามาตลอด
พวกเขาโดนหลอกให้หลอม แหวนแห่งอำนาจอันจะเพิ่มพูนพลังผู้สวมใส่ ขึ้นหลายวง
โดยมิทราบว่าเซารอน วางแผนจะแอบผลิต 'แหวนประมุข' ที่ควบคุมวงอื่นๆ ได้ไว้
เคเลบริมบอร์ (ภาพจากเกม Shadow of Mordor)
เซารอนถ่ายทอดอิทธิฤทธิ์ส่วนใหญ่ของตน สู่แหวนประมุข
เมื่อเขาใส่มัน, บรรดาเอล์ฟผู้สวมแหวนอื่น จึงตระหนักตอนนั้นว่าหลงกล
พวกเขารีบถอดแหวน และเก็บซ่อนให้พ้น จากการรับรู้ของเซารอน
บริวารเก่ามอร์ก็อธเลยหันไปพึ่ง แผนร้ายแบบดั้งเดิม นั่นคือใช้กองทัพมารเปิดสงคราม
จอมมารแห่งมอร์ดอร์
เซารอนชนะต่อเนื่องหลายปี จนเกือบยึดครองมิดเดิลเอิร์ธสำเร็จ โดยสมบูรณ์
เคเลบริมบอร์ตาย ผู้คนของเขาแพ้พ่าย, คนแคระล่าถอยไปแถวมอเรีย, เอลรอนด์หนีขึ้นเหนือ และก่อตั้งริเวนเดลล์
เจ้าแห่งความมืด เก็บแหวนแห่งอำนาจมาได้เกือบหมด (หาไม่เจอแค่แหวนเอล์ฟ 3 วง)
ธำมรงค์เหล่านี้จะถูกนำไปแจกแก่ คนแคระ 7 วง, และมนุษย์ 9 วง ในภายหลัง
ขณะเซารอนใกล้ชนะแบบรุกฆาต, กองทัพอันเกรียงไกรของชาวนูเมนอร์ ก็ขยับมาเข้าฉาก
พวกนี้ร้ายกาจมาก จนทำเอาฝ่ายเซารอนแตกพ่ายแทน และต้องยอมถอยไปตั้งหลักแถบมอร์ดอร์
เอล์ฟ, มนุษย์, คนแคระรอดพ้นกาลอวสาน และปลอดภัยต่อหลายศตวรรษ
เซารอนหลบไปกบดานซ่องสุมรี้พล, แจกแหวนแก่คนแคระ และพวกมนุษย์
จิตใจคนแคระต้านทานมารได้ดีกว่าที่คิด แต่ฝั่งมนุษย์ถูกครอบงำโดยง่าย
เซารอนจึงได้รับข้าทาสใหม่เป็น 'นาซกูล' มนุษย์ที่ร่างกายโดนความมืดกลืนกิน 9 ราย
ด้านฝ่ายนูเมนอร์อันใช้กำลัง หักโค่นลงไม่ได้นั้น, ในที่สุดเซารอนก็เปลี่ยนนโยบายใหม่
เมื่อกษัตริย์นูเมนอร์ชื่อ อาร์-ฟาราโซน (Ar-Pharazôn) ยกพลข้ามมหาสมุทร กะมาตบกองทัพเซารอนเล่นเหมือนเคย
ปรากฏว่าครั้งล่าสุดนี่เจ้าเซารอน ดันยอมแพ้โดยไม่สู้
และยอมให้หิ้วไปคุมขัง บนเกาะนูเมนอร์หน้าตาเฉย
ผู้ทำลายล้างแห่งนูเมนอร์
เซารอนใช้เวลาขณะเป็นนักโทษ หว่านล้อมให้กษัตริย์ยอมเชื่อใจ
เพียงไม่นานเซารอนก็บ่ใช่คนคุก แต่ถึงขนาดเลื่อนสถานะสู่ที่ปรึกษาของราชา
แล้วใช้ทักษะสาลิกาลิ้นทอง กล่อมให้กษัตริย์เลิกนับถือวาลาร์
หันไปบูชามอร์ก็อธ และประกอบพิธีกรรมสายโหดจนเทพไม่ปลื้ม อย่างการบูชายัญมนุษย์
ผู้ทำลายล้างสายเจ้าคารม ตะล่อมอาร์-ฟาราโซนต่อ
ให้จัดทัพเรือกองใหญ่ไปบุกตะวันตก เพื่อช่วงชิงความอมตะจากวาลินอร์
พอเห็นมนุษย์เหิมเกริม กล้าลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้
พระเจ้าหนึ่งเดียวอิลูวาทาร์ จึงทรงสำแดงแสนยานุภาพ อย่างหาได้ยาก
พระเจ้าล่มกองเรือของอาร์-ฟาราโซน และถล่มนูเมนอร์ทั้งเกาะ ให้จมหายวับไปจากแผนที่
เปลี่ยนดาวมิดเดิลเอิร์ธที่เคยแบนราบ ให้กลายเป็นลูกโลกทรงกลม
เซารอนเองก็สูญเสียร่างจำแลงแบบรูปงาม เพราะพระพิโรธของอิลูวาทาร์ครานี้
แต่ถึงกายหยาบโดนทำลาย จิตวิญญาณก็ยังลอยละล่องกลับทวีปหลัก ของมัชฌิมโลกได้
หลังจากนั้นเซารอนใช้ร่างแปลงใหม่ คือสไตล์นักรบอสูร รูปลักษณ์น่ากลัวแทน
กอนดอร์ กับอาร์นอร์
ผ่านไป 3,200 ปีแล้วเห็นจะได้, จากตรงนี้ยุค 2 เหลือประมาณ 250 ปี
ชาวนูเมนอร์กลุ่มผู้ศรัทธา (หรือก็คือไม่เคยเลิกนับถือบูชา วาลาร์สายสว่าง) เปล่าคล้อยตามลมปากเซารอน
จึงรอดจากเหตุการณ์จมนูเมนอร์ ปรับโฉมโลก
ล่องเรือสู่ทวีปหลักไปตั้งต้นชีวิตใหม่, ก่อตั้งอาณาจักรกอนดอร์ กับอาร์นอร์
พวกเขามาพร้อมวิทยาการของนูเมนอร์ จึงกลายเป็นผู้ปลูกสารพัดสิ่งก่อสร้างแจ่มๆ ที่ปรากฏในยุค LOTR
อาทิเช่น หอคอยออร์ธังก์ (Orthanc) ของซารูมาน, เมืองมินาสธิริธ (Minas Tirith),
และหอคอยที่เวเธอร์ท็อป (Weathertop) ซึ่งโฟรโด โดนพวกนาซกูลแทงแถวนั้น
พวกเขายังเป็นผู้นำเครื่องมือสื่อสารโบราณ อย่างศิลาส่องหล้า (Palantir)
ที่ซารูมานใช้ โทรคุยทางไกลกับเซารอนใน LOTR มาสู่แผ่นดินใหญ่ด้วย
พันธมิตรครั้งสุดท้าย
เซารอนปรากฏกายาแถวมอร์ดอร์ซ้ำ ทั้งเอลฟ์, มนุษย์, คนแคระ และเสรีชนอื่นๆ จับมือกันก่อตั้ง 'พันธมิตรครั้งสุดท้าย'
ชาวนูเมนอร์พลัดถิ่นเป็นกุญแจสำคัญ ที่ช่วยผลักดันให้เซารอน ถึงกับร่างสลายอีกครั้ง
เนื่องจาก "อิซิลดัวร์" เชื้อสายของเอลรอส (พี่เอลรอนด์) ตัดนิ้วของจอมมารข้างที่สวมแหวนทิ้ง
จอมมารเกือบสิ้นชื่อตลอดกาล หมดสิทธ์โผล่แถวยุค 3 แห่งมิดเดิลเอิร์ธแล้ว
ทว่าแหวนประมุขที่มีเจตจำนงของตัวเอง ทำการครอบงำอิซิลดัวร์
ชักจูงมิให้เขาโยนมันลงลาวา ของภูเขาไฟมรณะ (Mount Doom)
และหลังจากนี้แหวนที่ไม่ถูกทำลาย จะพยายามหาหนทางกลับสู่
เจ้านายแท้จริงของมัน (เซารอน) ต่อไป
ที่มา: looper
COMMENTS